2024B002
#หลงยุคหลุดสมัย
เทคโนโลยีกับความก้าวหน้า เครื่องมือสำคัญในการตีแผ่สังคม
สุรวิทย์ ขันทะเสน
#หลงยุคหลุดสมัย คือรวมเรื่องสั้นที่เล่าเรื่องเล่นล้อกับช่วงเวลา จิก กัด แซะ เกาสิ่งต่าง ๆ ที่ร่วมยุคร่วมสมัยด้วยลีลาแบบมุขปาฐะ ที่จะทำให้อรรถรสยิ่งนักหากได้ลองอ่านออกเสียงตามจังหวะและตัวอักษรที่วัน รมณีย์ ได้เขียนเอาไว้
(คำนำสำนักพิมพ์แซลมอน)
ความตอนหนึ่งในคำนำของหนังสือรวมเรื่องสั้น “#หลงยุคหลุดสมัย” แสดงให้เห็นทัศนะของผู้เขียนต่อการสร้างวรรณกรรมเรื่องหนึ่งขึ้น หนังสือรวมเรื่องสั้นเรื่องนี้เขียนนามปปากกา วัน รมณีย์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์แซลมอน ออกวางขายเมื่อปี พ.ศ.2565 ประกอบไปด้วยเรื่องสั้นสามเรื่อง คือ “จ๊ะเอ๋” “บุษบา” และ “หลงยุคหลุดสมัย” โดยเรื่องสั้นแต่ละเรื่องผู้เขียนได้ใช้กลวิธีการเขียนในการ “จิก กัด แซะ” อย่างแยบยลผ่านการใช้ประเด็นทางความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผสานเข้ากับประเด็นทางสังคมต่าง ๆ ในสังคมร่วมสมัย
ที่ผู้เขียนพยายามใช้สัญญะบางอย่างในการวิพากษ์วิจารณ์แบบตรงไปตรงมาและใช้นัยยะของเรื่องสั้นเพื่อวิจารณ์ประเด็นต่าง ๆ แบบอ้อม ๆ โดยเฉพาะการใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้เป็นบทบาทสำคัญในการดำเนินของทั้งสามเรื่องเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ ไม่ว่าจะการสกัดดีเอ็นเอเพื่อมาทำเป็นเหรียญที่สามารถพูดคุยกับคนที่ลาจากโลกไปแล้วได้ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ อัลกอริทึม ในเรื่อง “จ๊ะเอ๋” ซึ่งเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งที่พัดพรากจากกันเพราะความตายมาเยือนอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ชายคนรักไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์นั้นได้ จึงทำเหรียญ “ร.คอยน์” เพื่อสร้างให้เธอสามารถกลับมาคุยกับเขาได้ ถึงแม้ร่างกายของเธอจากสูญสิ้นไปพร้อมกับกองฟอนแล้วก็ตาม เรื่องราวความรักและความลับระหว่างคนสองคนได้พลั่งพรูผ่านความคิดภายในใจของคนทั้งสอง
หรือมีการใช้ความผกผันระหว่างพื้นที่ของเวลา แม้กระทั่งเครื่องหน่วงเอนโทรปีนี่ เป็นเครื่องมือให้ “บุษบา” สามารถข้ามกาลเวลาทุก ๆ 7 ปีจากห้องเก็บวัตถุโบราณที่เธอทำความสะอาดในฐานะที่เป็นแม่บ้านในศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งได้ ด้วยเครื่องหน่วงนี้เองที่ทำให้เธอ ได้ประสบพบเจอกับชีวิตในทุก ๆ 7 ปี เมื่อครั้งที่เธอออกจากห้องแห่งนี้ และนั่นก็ทำให้เธอได้เจอโลกที่ก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่เปลี่ยนไป และในเรื่องสุดท้ายอย่าง “หลงยุคหลุดสมัย” นายจำรูญ สายจำเริญ นักเขียนผู้ไม่ยอมย่อหย่อนกับหลักการการเขียนงานวรรณกรรมที่ปูชนียบุคคลได้วางรากฐานเอาไว้กำลังประสบความท้าทาย และเขย่าศรัทธาของเขากับวงการวรรณกรรมจากวรรณกรรมที่ใช้ ปัญญาประดิษฐ์ผ่านการเขียนโค้ดดิ้ง และยังมีนวัตกรรมของกระดาษเท่าดวงตราไปรษณีย์ที่สามารถให้ผู้อ่านสัมผัสได้ทั้งรูป รส กลิ่น
จึงเป็นที่น่าสนใจว่าผู้เขียนอย่าง วัน รมณีย์ ได้พยายามใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อมีจุดประสงค์ในการสื่อสารบางอย่างไปยังผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางการเมือง และประเด็นทางสังคมที่มีทั้งการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา รวมไปถึงการวิจารณ์ทางอ้อมด้วย โดยจะได้กล่าวเป็นลำดับต่อไป
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : ภาพแทนการควบคุมคน ในเรื่อง “จ๊ะเอ๋”
Shoshana Zuboff นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน มองว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลแท้จริงแล้วเกิดจากเจตนารมณ์ของมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลัง โดยมีรากเหง้ามาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำความโลกอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยโลกที่ทุนนิยมจำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์จึงมีมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ วันนี้ ด้วยความที่การใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ขับเคลื่อนกลไกตลาดภายใต้ระบบทุนนิยม การเก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้บริโภคจึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบและผลิตภัณฑ์ จึงดูจะเป็นการสร้างความชอบธรรมไปในตัวในการสอดแนม รวบรวม และจัดการข้อมูลที่บริษัทได้จากผู้ใช้ บริษัทที่ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้จึงมีระบบสอดแนมที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะคาดการณ์ชักนำการตัดสินใจ ซึ่ง Zudoff ก็ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า การกระทำนี้เป็นการทำลายคุณค่าของมนุษย์ในฐานะผู้กระทำและเป็นการบ่อนเซาะทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตยให้พังทลายในที่สุด (เมธาวี หงละสุต, 2565, หน้า 57-58) นอกจากนี้แล้ว การเขียนโคดดิ้งด้วยกระบวนการอัลกอริทึมก็ยิ่งสามารถเป็นการควบคุมคนได้ในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย มีความสามารถในการทำความรู้จักตัวตนของเรา ผ่านการประมวลผลและทดสอบสถานการณ์ที่เป็นไปได้จำนวนมากจากการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ จนสามารถเลือกได้ว่าสิ่งไหนคือความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด (เกวลิน ชุ่มทางทอง, ม.ป.ป.) ดังที่ในเรื่องสั้นได้กล่าวไว้ว่า
“หากใช้เอากอริทึมที่เหมาะสม เราสามารถกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ล่วงหน้า
ว่าเมื่อละสายตาจากโทรศัพท์ เขาจะประทับใจรอยยิ้มแรกที่มองเห็น ถูกกระตุ้น
ให้หลงใหล ฝังลึกติดในใจไปตลอดกาล...” (หน้า 17)
ด้วยสิ่งนี้เอง การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถวางแผน ควบคุมหรือออกแบบความต้องการของผู้ใช้งานคล้ายกับว่าเป็นการควบคุมคนอีกรูปแบบหนึ่ง จึงเหมาะกับสร้างงานเรื่องสั้น “จ๊ะเอ๋” ที่พูดถึงการพยายามสร้างให้คนทั้งสองคนรักกันด้วยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ดังในตอนท้ายของเรื่องได้กล่าวไว้ว่า
“บรรดาผู้เสียหายแต่ละคู่ ถูกบริษัททำให้แอบชอบกันเองโดยการสร้างความสนใจร่วม
ผ่านเนื้อหาที่ยัดเยียดให้เสพ อาทิ ประเด็นสุดโต่งทางการเมือง แมว ดนตรี ของสะสม” (หน้า 18)
“รัฐ” กับการสร้างโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง
“ถูกของเขา มงคลสมรสครั้งนี้ ลิขิตไว้โดยมันสมองของจักรกล ผู้คัดสรร บรรจง
โปรแกรมพฤติกรรมให้เป็นตามเส้นทางที่ออกแบบ” (หน้า 18)
การจะรักใครสักคนหนึ่ง เราเชื่อมาตลอดว่าจะเป็นต้องเกิดจากเจตจำนงเสรีของแต่ละบุคคล ไม่ควรมีใครไปก้าวก่ายเสรีภาพที่ได้มาตามธรรมชาติในการจะเลือกเกิดหรือรักใครก็ตาม หากแต่เมื่อความรักนี้ มีผู้กำหนดอยู่เบื้องหลัง โน้มน้าวให้รู้สึกรัก รู้สึกชอบ นั่นก็เป็นการบงการชีวิตของคน ๆ หนึ่งโดยที่คน ๆ นั้นอาจจะไม่ได้รับรู้การกระทำนั้นอยู่ก็ได้ การกระทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างกับการกระทำเช่นเดียวกับ “รัฐ”
อำนาจในมือของ “รัฐ” นั้นครอบคลุมไปถึงการควบคุมสื่อหรือแพลตฟอร์มทางอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ มากมาย การใช้อำนาจของรัฐนี้ ยิ่งเป็นรัฐเผด็จการด้วยแล้ว มีทั้งการใช้อำนาจในการสั่งให้คนกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดโดยตรง หรืออีกอย่างหนึ่งคือเป็นการแทรกซึมข้อมูลที่รัฐต้องการให้ทราบผ่านข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองให้แก่รัฐหรือสร้างความชอบธรรมในการกระทำบางอย่างของรัฐ รวมไปถึงใช้แพลตฟอร์มทางอินเทอร์เน็ตนี้ในการกำจัดศัตรูที่ถือว่าเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อรัฐและกลุ่มชนชั้นนำ โดยที่คนในสังคมก็อาจจะเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือหรือมีความเป็นไปได้มาก เพราะข่าวเหล่านี้มีผู้คนให้ความสนใจและวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกัน การกระทำเช่นนี้ในปัจจุบันนั้น มีการกระทำที่รัฐพยายามทำอย่างแนบเนียนในการควบคุมคนในสังคมแต่ในท้ายที่สุดก็ถูกเปิดเผยออกมาต่อสาธารณะ ดังที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การใช้ปฏิบัติการข่าวสาร (IO)การกระทำเช่นนี้ หากไม่มีการถูกเปิดเผยเสียก่อนก็อาจจะสำเร็จและกลายเป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังจนเกิดการทะเลาะของคนในชาติจนเกิดการทำร้ายกันของคนต่างความคิดในที่สุด และนั่นก็จะเป็นตัวเร่งที่ทำให้ทหารออกมารัฐประหารหรือใช้อาวุธกับฝ่ายตรงข้ามซึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เห็นจะเป็นเช่นในเรื่องสั้น “จ๊ะเอ๋” ได้บรรยายไป
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็จะเห็นว่า “ผู้มีอำนาจ” เปรียบเช่นเดียวกับ “อัลกอริทึม” พยายามประมวลผลในสิ่งที่ประชาชนสนใจ และนำข้อมูลที่เกิดผลดีกับผู้มีอำนาจและพวกพ้องแทรกซึมเข้าไปในโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อหวังผลในสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการนั่นเอง
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : การสะท้อนปัญหาในสังคมในเรื่อง “บุษบา”
ในเรื่องบุษบา แนวคิดหลักของการใช้การก้าวข้ามเวลาในห้องเก็บวัตถุโบราณคือสิ่งที่เรียกว่า “(ผลของอนุภาคที่ถูกกระทำโดย)เครื่องหน่วงเอนโทรปีนี่” (หน้า 22) ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ใกล้เคียงที่สุด มีคำที่คิดค้นขึ้นมาว่า “entropy” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีกที่แปลว่า transformation (การเปลี่ยนแปลงสถานะ) แม้สิ่งนี้เป็นเพียงทฤษฎีที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถก้าวกระโดดไปถึงการข้ามเวลาได้ แต่แนวคิดหลักของการข้ามเวลาหรือย้อนเวลาก็คือ การสามารเอาตัวเองกลับไปยังอดีตหรืออนาคตได้ และเมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของเวลา ก็จะทำให้เห็นสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามพลวัตของสังคม ดังนั้นจึงเหมาะสมกับการใช้เป็นฉากและประเด็นหลักของเรื่อง “บุษบา” ยิ่งไปกว่านั้น การข้ามเวลาในทุก ๆ วันของบุษบานี้เองทำให้เธอได้พบความเปลี่ยนแปลงของสังคมไปเรื่อย ๆ หรือในบางเรื่องก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำยังทำให้ประเทศแย่ลง ดังบุษบาได้ออกมาจากห้องเก็บวัตถุวันที่สองและบรรยายว่า
“เจ็ดปีนานพอทำให้ค้นพบน้ำอัดลมเรืองแสงแสนอร่อยตราอาโป...แต่เจ็ดปีก็ยังไม่นานพอ
จะทำให้เห็นว่าวงการละครมีสิ่งใหม่...เจ็ดปีผ่านไป ก็ยังไม่ทำให้ประเทศพัฒนา” (หน้า 37-38)
“ทุนนิยมที่ไร้หัวใจ” ปัญหาทุนนิยมกับการพัฒนาประเทศ แต่ไม่พัฒนาคนและสังคม
ปัญหาที่สอดรับไปกับประเด็นปัญหาการพัฒนาเมืองใหญ่โดยละทิ้งเมืองชนบท คือ ปัญหาทุนนิยม ปัจจุบัน สภาพของเศรษฐกิจและสังคมถูกขับเคลื่อนไปด้วยระบบทุนนิยม ทุนนิยมเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราเป็นอย่างมาก แต่การเติบโตของทุนนิยมในปัจจุบันมักแลกมากับการความอ่อนแอลงของแรงงานที่มีอำนาจในการต่อรองน้อยลงไป เนื่องจากเมื่อกลุ่มนายทุนมีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง แรงงานระดับล่างในภาคอุตสาหกรรมในเขตเมืองก็ยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่แยแสต่อสภาพชีวิตของลูกจ้าง อีกทั้งต้องมารับภาระค่าครองชีพที่แสนหนักหน่วงอีกด้วย ดังที่บุษบาได้เล่าถึงสภาพชีวิตของพ่อเธอเมื่อต้องทำงานหนักจนป่วยจากการทำงานที่ไร้ประสิทธิภายในการควบคุมความปลอดภัยให้แก่พนักงานลูกจ้างว่า
“คำว่า “หัวหน้า” ทำให้พ่อยิ่งต้องขยันขันแข็ง พ่อใส่ใจการงานแต่ไม่เคยสนใจสุขภาพตัวเอง
พ่อไม่สวมหน้ากากอนามัยเพื่อกันใยละอองของเศษผ้าซึ่งฟุ้งกำจายอยู่เป็นตะกอนในอากาศ
พ่อไม่สูบบุหรี่หรือยาเส้น แต่เพราะการทำงานในห้องผ้ามานับหมื่นพันชั่วโมง ส่งผลให้พ่อเป็นมะเร็งปอด” (หน้า 29)
การบรรยายของผู้เขียนว่า “พ่อไม่สูบบุหรี่หรือยาเส้น” และการสร้างภาพให้เห็น “ใยละอองของเศษผ้าซึ่งฟุ้งกำจายอยู่เป็นตะกอนในอากาศ” เป็นการย้ำว่าเหตุของการเป็นมะเร็งปอดของผู้นั้น เกิดจากในสถานที่ทำงานที่เป็นโรงงานปิดแต่ไม่มีระบบการสร้างความปลอดภัยให้พนักงานโรงงาน
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนจบก็ยังได้ย้ำถึง ความยากลำบากของคนรุ่นต่อไปที่เหมือนเป็นการถ่ายทอดกันรุ่นต่อรุ่นมาเรื่อย ๆ ผู้เขียนได้สะท้อนภาพค่าแรงขั้นต่ำที่เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงนั้น ในท้ายที่สุด เงินที่แรงงานได้มาก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตอยู่ดี และรวมไปถึงความยากลำบากของการทำงานหนักเป็นแรงงานที่ส่งผลมายังตัวบุษบา ในประโยคตอนจบของเรื่องที่ว่า
“มองเห็นแววตาของแม่ในแววตาของตัวเอง
มองเห็นสีหน้าของพ่อ...
บนสีหน้าของตัวเอง” (หน้า 44)
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : สถานะของผู้เขียนกับสังคมใหม่ในเรื่อง “หลงยุคหลุดสมัย”
ไม่ว่าเชื้อชาติเผ่าพันธุ์หรืออยู่ในวัฒนธรรมใด เมื่ออมแผ่นนี้ไว้ ถ้อยคำอันอุ้มโอบเนื้อหากับอารมณ์
ก็จะปรากฏความเข้าใจปัจเจกนั้น ๆ ...แถมทั้งยังช่วยให้รับรู้ได้ดีขึ้น ด้วยเจ้าแผ่นกระดาษมีฤทธิ์
กระตุ้นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ช่วยให้ความรู้สึกต่าง ๆ ดูเข้มชัด (หน้า 58 และ 59)
นายจำรูญ สายจำเริญ ได้กล่าวถึงนวัตกรรมใหม่ของแผ่นกระดาษเท่าดวงตราไปรษณีย์ที่เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์ใจทางเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เข้าถึงตัวงานวรรณกรรมได้อย่างลึกซึ้งมากที่สุด กว่าจะผ่านมาถึงการเข้ามาของนวัตกรรมนี้ ผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของงานวรรณกรรมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ยุคที่ยังมีการใช้กระดาษในงานเขียนวรรณกรรม เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็ทำให้เกิดหนังสือประเภทอีบุ๊ก จนเกิดนิยายประเภทนิยายแชตพิมพ์เรียงเป็นท่อน ๆ แฟนฟิก ต่าง ๆ นานา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดหลักการความเชื่อของเขาเกี่ยวกับงานวรรณกรรมดังที่ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อคอลัมน์บทกวี เรื่องสั้น และนวนิยายรายตอนถูกทอนไป ก็เหมือนโลกวรรณกรรมขาดไร้ประภาคารใหญ่สาดไฟชี้ส่อง” (หน้า 48)
การใช้ความก้าวหน้าทั้งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงเป็นเหมือนเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความขัดแย้งภายในใจให้กับตัวละครในเรื่อง “หลงยุคหลุดสมัย” เนื่องจากว่า เดิมที่เขาเป็นน้องใหม่ในวงการวรรณกรรม แต่เมื่อผู้เขียนได้สร้างให้เกิดเหตุการณ์ อุกกาบาตพุ่งชนกลางงานประกาศผลรางวัลวรรณกรรมระดับประเทศ ทำให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวรรณกรรมมลายหายวับไปทันที จึงกลายเป็นว่า สังคมได้มีการเซ็ตซีโร่ใหม่ จากเดิม “วรรณกรรมแบบเดิมเท่านั้นที่บรรดาศิลปินรุ่นใหญ่ให้การสนับสนุน” (หน้า 50) วรรณกรรมประเภทที่มักจะหาคุณค่าในตัวงาน และความเชื่อที่ว่าวรรณกรรมเหล่านี้จะคงอยู่ตลอดไป ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ในฐานะที่เขาอยู่มานานและก็เป็นส่วนน้อยที่เหลือรอดจากเหตุการณ์ร้ายก่อนหน้า เขาก็ได้รับการตราหน้าว่าเป็นนักเขียนเก่า ๆ ที่ยังคงยึดมั่นกับหลักคิดเดิม ๆ และไม่อยากที่จะออกมาจากกรอบเหล่านั้น จึงคล้ายกับว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้พยายามยั่วล้อความเป็นเผด็จการทางวรรณกรรม เป็นการจิกกัดของนักเขียนเองในเรื่องการสร้างความเป็น “เรา” และ “เป็นอื่น” หากไม่เป็นอย่างที่พวกเราเชื่อ คนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นกลุ่มคนที่เรามองว่าแปลกอยู่ดี จะเห็นว่า นี่คือเรื่องของการเปลี่ยนผ่านทางเวลา เมื่อใครขึ้นมาครองมีอำนาจ ไม่ว่าจะกลุ่มคนที่ชอบเขียนงานวรรณกรรมแบบไหนก็ตาม ก็จะมีการสร้างกฎเกณฑ์ในแบบที่เป็นไปตามยุคตามสมัย คนที่ตามไม่ทัน อย่างเช่นนายจรูญ ก็อาจจะเป็นได้แค่ผู้ทรงคุณวุฒิในฐานะที่อยู่มาหลายยุคหลายสมัย จนกลายมาเป็นหนึ่งในกรรมการของโครงการที่จัดโดยรัฐ และเมื่อมีกระบวนการคัดสรร มันก็คงจะหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองในกลุ่มงานวรรณกรรมไม่ได้ ก็เพราะจำเป็นต้องเลือกงานที่เห็นว่าดีตามบริบทในยุคนั้น นายจำรูญเองก็จำเป็นต้องเปิดกว้างกับงานที่ตนเองมองว่าไม่มีคุณแค่ จนในท้ายที่สุดเรื่องสั้นแบบประเภทกระดาษเท่าดวงตราไปรษณีย์ก็มาอยู่ตรงหน้าเขา “นักเขียนใหญ่เอาอุจจาระเข้าปาก”
ดังนั้น จะเห็นว่า ทั้งสามเรื่องสั้นในหนังสือรวมเรื่องสั้น #หลงยุคหลุดสมัย มีการพยายามใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเป็นองค์ประกอบหลักในการเล่าเรื่อง โดยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการดำเนินเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก เป็นการสะท้อนบทบาทของเรื่องสั้นกับการสอดแทรกประเด็นทางการเมืองและสังคมร่วมสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
บรรณานุกรม
เกวลิน ชุ่มทช่างทอง. (ม.ป.ป.). เรากำลังสร้าง “โลกอคติของอัลกอริทึม” อยู่หรือไม่. สืบค้นจาก
เรากำลังสร้าง “โลกอคติของอัลกอริทึม” อยู่หรือไม่ (pelangithai.com)
เมธาวี โหละสุต. (2565). ส่องสภาวะดิจิทัลศตวรรษที่ 21 ผ่านแว่นวรรณกรรม. กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์
วัน รมณีย์. (2565). #หลงยุคหลุดสมัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แซลมอน