i don’t want a new chapter, i like the old one : ความสัมพันธ์ก็คือเรื่องสั้น
เพราะเราทุกคนไม่ได้ถูกกำหนดให้รู้จักกันตลอดไป
ธาริกา ธนาดำรงศักดิ์
เมื่ออ่านเรื่องราวสักเรื่องหนึ่งจนดำเนินมาถึงหน้ากระดาษสุดท้าย หลายครั้งอาจอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไร จะมีชีวิตดังเช่นที่ถูกบรรยายไว้ในย่อหน้าสุดท้ายก่อนจบเล่มจริงหรือเปล่า คงไม่มีใครตอบได้ และแน่นอนว่าชีวิตจริงของมนุษย์ก็ไม่ต่างกัน รวมเรื่องสั้น “i don’t want a new chapter, i like the old one” ของโชติกา ปริณายก กับความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันอย่างซับซ้อนของเรื่องสั้นทั้ง 15 เรื่อง จะนำผู้อ่านไปสู่คำถามที่ว่า หากวันหนึ่งตัวเราเปลี่ยนจากบทบาทตัวละครหลักไปเป็นเพียงนักแสดงสมทบหรือแม้กระทั่งบุคคลที่ไร้การกล่าวถึงในความสัมพันธ์ของใครสักคน เราจะพร้อมพลิกกระดาษต่อไปยังหน้าถัดไปหรือเปล่า
รวมเรื่องสั้น i don’t want a new chapter, i like the old one ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2565 โดยสำนักพิมพ์แซลมอน ประกอบไปด้วยเรื่องราวทั้ง 15 เรื่องอันล้วนเล่นล้อกับความทรงจำและความสัมพันธ์ผ่านแง่มุมที่แตกต่างกัน ผู้เขียนอย่างโชติกาเลือกนำลักษณะของความเป็น ‘เรื่องสั้น’ มาสะท้อนความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่ในบางคราก็สั้นเสียจนไม่อยากจะปล่อยให้จากไป หรืออาจสั้นเกินกว่าจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน วิธีการผูกเรื่องที่น่าสนใจของผู้เขียนคือการนำตัวละครหรือสถานที่จากตอนก่อนหน้ามาเป็นตัวเชื่อมไปสู่เรื่องถัดไป ทว่าแม้จะดูปะติดปะต่อกัน แท้จริงกลับเป็นเรื่องราวที่แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ก็เพื่อนำเสนอมุมมองชีวิตของมนุษย์ในแง่การยึดติดกับความสัมพันธ์อันเป็นเรื่องชั่วคราวและอาจสั้นเกินกว่าจะคาดเดา อันจะทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้นกับประโยคที่ว่า “เราทุกคนไม่ได้ถูกกำหนดให้รู้จักกันตลอดไปหรอก” (หน้า 10)
การยึดติด: เมื่อชีวิตจริงไม่มีเครื่องมือใดจะรั้งเวลาให้หยุดเดิน
เรื่องสั้น 5 เรื่องภายในหนังสือเล่มนี้เล่าถึงความพยายามของแต่ละตัวละครในการเก็บเกี่ยวความสัมพันธ์ในชีวิตไม่ให้จางหายไปตามกาลเวลา โดยเล่าผ่านมุมมองเหนือจินตนาการอย่างการใช้เครื่องมือในรูปแบบต่างๆ เพื่อรั้งตนเองไว้ในห้วงอดีต และหวังว่าทุกความสัมพันธ์ที่หวงแหนจะคงอยู่ตลอดไป
เริ่มต้นด้วยเรื่องที่ 01 ความสัมพันธ์ระหว่างเอริก้าและฟิลิป หุ่นยนต์แอนดรอยด์เสมือนจริงที่ลักลอบออกจากศูนย์วิจัยเพื่อลองหนีไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์ โดยที่ฟิลิปไม่ได้บอกเธอว่าแท้จริงแล้วคือเขาเองต่างหากที่เป็นมนุษย์ เรื่องราวในบทนี้คือการเปรียบเทียบมุมมองเกี่ยวกับความทรงจำของหุ่นยนต์และมนุษย์ผ่านเครื่องมือเล่าเรื่องอย่าง ‘หน่วยความจำ’ ที่เสียบอยู่กับแอนดรอยด์ทุกตัว ซึ่งหากพื้นที่ข้อมูลเต็มขึ้นมาในวันใด ความทรงจำก่อนหน้าก็จะถูกลบออกเพื่อแทนที่ ในที่สุดสัญญาณไฟสีแดงที่หลังคอของเอริก้าก็กระพริบบอกว่าถึงเวลาลบความทรงจำของเธอแล้ว เธอกล่าวออกมาว่า “เหมือนต้องเลือกเลยว่าจะจำอดีตหรืออนาคต” (หน้า 14) เป็นเพราะหากไม่ลบอดีต เธอจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวต่อจากนี้ได้อีกไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี เช่นเดียวกับมนุษย์ที่หากเลือกจะเดินหน้าต่อ ก็จำเป็นจะต้องทิ้งเรื่องราวบางอย่างไว้ข้างหลัง “มนุษย์หลายคนอิจฉาพวกเรานะที่สามารถลบความทรงจำออกไปได้ง่ายๆ เพราะหลายความทรงจำก็ทำร้ายพวกเขา” (หน้า 15) นั่นคือเรื่องจริง ทว่าความทรงจำไม่เคยเปิดโอกาสให้คัดเลือกเฉพาะสิ่งที่ต้องการเก็บไว้แม้จะโลภมากเพียงใด และก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่แม้มนุษย์จะมีหน่วยความจำให้เลือกลบได้จริง สุดท้ายก็ยังจะต้องเผชิญกับเจ็บปวด เพราะในความทรงจำอันเลวร้ายก็มักจะซ่อนเรื่องราวแสนมีค่าไว้เสมอ
ในเรื่องที่ 03 หญิงสาวกำลังพยายามหาซื้อ ‘ยาหายล่องหน’มารักษาสุนัขของเธอที่บังเอิญกินยาล่องหนเข้าไป เธอยังคงสัมผัสขนนุ่มฟูของมันได้ แต่ “พอมองไม่เห็นตัวแบบนี้ ปลอกคอก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ฉันเห็นได้ว่ามันไปวิ่งเล่นตรงไหน” (หน้า 28) สัญญะของยาวิเศษในบทนี้สะท้อนถึงจิตใจอันอ่อนแอของมนุษย์เมื่อสูญเสียความสัมพันธ์ แม้บุคคลที่รักจะไม่อยู่ให้เห็นตรงหน้าอีก ความผูกพันที่ตัดไม่ขาดก็มักทำให้มนุษย์หาหนทางไขว่คว้าร่องรอยในอดีตเพื่อให้ตนเองมีที่ยึดเหนี่ยวชีวิตต่อไปได้ราวกับใส่ปลอกคอให้ความทรงจำ จนหลายครั้งการผูกติดกับอดีตอาจทำให้เราลืมที่จะรักษาอนาคตเอาไว้ด้วย สุดท้ายสิ่งที่หญิงสาวได้ติดมือกลับมานอกจากยาหายล่องหน ก็คือยาที่ทำให้คนเป็นแม่เข้าใจลูกสาว ทั้งที่แม่ของเธอไม่ได้ล่องหนและยังมีตัวตนอยู่ตรงหน้า หากแต่ความยึดติดอันน่ากลัวนี้กลับกัดกร่อนจิตใจของมนุษย์เสียจนลืมว่าชีวิตยังมีความสัมพันธ์อีกมากมายที่จำเป็นจะต้องรักษาไว้ให้ดี
เช่นเดียวกับในเรื่องที่ 10 เรื่องราวของหญิงสาวนักบัลเล่ต์ผู้ใช้ ‘ยาย้อนเวลา’ เพื่อเดินทางกลับมาแก้ไขสิ่งที่ตัวเธอทำพลาดไปในการแสดงบัลเล่ต์ครั้งสำคัญเมื่อสามวันก่อน ทว่าในชีวิตจริงไม่มียาวิเศษใดจะทำเช่นนี้ได้ และไม่มีมนุษย์คนใดจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เพราะความผิดพลาดและการสูญเสียคือธรรมชาติของชีวิต ชีวิตซึ่งไม่มีการย้อนกลับมาแก้ไขอดีตได้ แน่นอนว่าความไม่สมบูรณ์แบบนั้นไม่น่าปรารถนาเอาเสียเลย แต่หากชีวิตที่สมบูรณ์แบบจำต้องแลกกับการติดอยู่ในวังวนห้วงเวลาแห่งสามวันก่อน หรืออาจยาวนานกว่านั้น นั่นก็คงไม่ใช่ชีวิตที่น่าปรารถนาเช่นกัน
เรื่องที่ 11 คือการเล่าผ่านมุมมองของดีน ชายหนุ่มที่ใช้ ‘บริการสร้างประสบการณ์ความสัมพันธ์อันเจ็บปวด’ เพียงเพื่อความท้าทาย ทว่าเขากลับได้พบกับหญิงสาวผู้เป็นรักแท้ของชีวิต และแล้วในวันหนึ่งเธอก็ได้หายไปจากเขาอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดอย่างที่ต้องการ หากแต่มันกลับไม่สนุกอย่างที่คิด เป็นเวลากว่าสามปีที่เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อมารอเธอในจุดเดิมที่ทั้งคู่มักนัดพบกันด้วยกับความหวังลมๆ แล้งๆ แต่แล้วคำถามก็คือ การหายตัวไปของหญิงสาวนั้นเกิดจากบริการที่ว่านี้จริงหรือ ในความสัมพันธ์ของมนุษย์บ่อยครั้งอาจทำผิดพลาดลงไปโดยไม่รู้ตัว และย่อมไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นจะคงอยู่ตลอดไป หากมองให้ดี เป็นตัวดีนเองเสียมากกว่าที่กระทำทุกอย่างด้วยการตัดสินใจของตนเอง สุดท้ายเมื่อสูญเสียเธอไป ก็ยังคงเป็นตัวเขาเองที่เลือกจะจมอยู่กับความเจ็บปวด และทิ้งอนาคตไว้ในอดีตที่มีเธอแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเวลาไม่อาจหวนคืน
กลับกันในเรื่องที่ 07 เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความทรงจำ หากแต่เป็น ‘บริการลบความทรงจำ’ แทน นี่คือเรื่องราวของหญิงสาวผู้เขียนวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง “Eternal Sunshine of the Spotless Mind” เรื่องราวของคู่รักที่ตัดสินใจจบความสัมพันธ์ด้วยใช้บริการการลบความทรงจำระหว่างกันเพื่อหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทว่าเมื่อได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่อาจห้าม หากมองเผินๆ อาจดูคล้ายเป็นเรื่องราวแสนหวาน แต่แท้จริงแล้วนั่นหมายความว่าบริการที่ว่านี้ไม่ได้ช่วยให้ทั้งคู่ได้เริ่มต้นใหม่แม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่รั้งทั้งคู่เอาไว้นั้นไม่ใช่ความทรงจำ กลับเป็นความสัมพันธ์ที่ยึดติดซึ่งกันและกันอย่างที่ไม่มีวันจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้เสียต่างหาก เมื่ออ่านจบอาจารย์ของหญิงสาวจึงบอกให้เธอแก้ไวยากรณ์ในบทความให้เป็น past simple tense “เพราะว่าการพบกันใหม่เป็นเรื่องสมมติ” (หน้า 68) เมื่ออ่านมาถึงประโยคนี้จึงเป็นการย้ำเตือนผู้อ่านว่าความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วนั้นมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะวนกลับมาเจอกันอีกในโลกใบใหญ่ เพราะอย่างนั้นหากยังคงไม่ปล่อยมือออกจากเส้นด้ายแห่งความสัมพันธ์ที่ผูกไว้แน่น อนาคตก็ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้ เช่นเดียวกับตัวละครดีน ชายหนุ่มในเรื่องที่ 11
การหวงแหน: เมื่อตำแหน่งตัวละครหลักในความสัมพันธ์ไม่ใช่เราอีกต่อไป
เมื่อความสัมพันธ์บางประการจบลงและชีวิตต้องเดินหน้าต่อ มนุษย์จึงจำต้องสร้างความสัมพันธ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่อยู่เสมอ จากคนที่เคยสำคัญในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เมื่อช่วงเวลานั้นผ่านเลยไปก็อาจกลายเป็นเพียงตัวประกอบ หรือมากที่สุดก็จางหายไปจากชีวิตของใครสักคนอย่างไม่เหลือร่องรอย ทว่าในบางคราก็อาจเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะก้าวข้ามความเจ็บปวดแห่งการสูญเสียไปได้ และนั่นอาจหมายถึงการนำมาซึ่งความเจ็บปวดของผู้อื่นด้วย
เรื่องที่ 06 ถูกเล่าผ่านมุมมองของ ‘การแทนที่’ นี่คือเรื่องราวการแย่งตำแหน่งนักแสดงหลักในละครเวทีของเหล่านักแสดงสมทบ อันนำมาซึ่งการวางแผนกำจัดกันและกัน อย่างที่แม้กระทั่งในตัวบทละครก็ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแทนที่ ทว่าไม่ว่าจะในบทละครหรือในเรื่องราวบทนี้ ท้ายที่สุดก็ต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรม สะท้อนให้เห็นความชั่วคราวและไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ แน่นอนว่าใครๆ ต่างก็อยากเป็นที่หนึ่งในพื้นที่ที่ถูกมองเห็นและได้รับคุณค่ามากที่สุด ทว่าการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตนจะมีค่าได้ก็ต่อเมื่อถูกให้ค่าโดยใครสักคนนั้นไม่อาจยืนยาว เข็มนาฬิกาที่หมุนไปข้างหน้าอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในหัวใจของใครบางคน และในที่สุดก็จะหมุนเอาสิ่งที่ตัวเราเคยได้รับจากไปด้วยโดยไม่มีแม้แต่สัญญาณบอกล่วงหน้า
เช่นเดียวกับเรื่องที่ 02 ของหญิงสาวที่ไม่อาจทำใจปล่อยอดีตคนรักไปเริ่มต้นใหม่ได้ จึงใช้ ‘การแก้แค้น’ เป็นทางออกโดยกำจัดคนรักใหม่ของชายหนุ่ม เพราะ “ถ้าเขาไม่ใช่ของเธอ เขาก็ไม่ใช่ของคนอื่นเหมือนกัน” (หน้า 22) หลายครั้งความเจ็บปวดที่มนุษย์รับไว้คนเดียวไม่ไหวก็ถูกแบ่งไปให้ใครคนอื่นช่วยแบกไว้ด้วยอย่างบีบบังคับ และท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้กลับมาหาเธอ ส่วนเธอก็ยังคงจมอยู่กับความคิดที่ว่า “เขาไม่เหมือนใคร และไม่มีใครมาแทนที่เขาได้” (หน้า 19)
การหลอกตัวเอง: เมื่อความแตกสลายจากความสัมพันธ์หนักเกินกว่าจะแบกรับ
เพื่อจะใช้ชีวิตต่อไปได้ ใครหลายคนอาจเลือกหลีกหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้ายและสร้างโลกที่ต้องการให้เป็นขึ้นมาแทน มุมมองการหลอกตัวเองถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเรื่องสั้นทั้งหมด 3 เรื่อง
เรื่องแรกคือเรื่องราวของหญิงสาวจิตรกรในบทที่ 04 เธอรับจ้างวาดภาพเหมือนของศิลปะดังแล้วแอบนำไปสลับกับภาพจริงในพิพิธภัณฑ์เพื่อขายให้แก่ผู้ว่าจ้าง จนวันหนึ่งเธอกลับตัดสินใจหลอกขายภาพที่วาดขึ้นเองแทน โดยกล่าวว่า “ถ้าวาดหลอกคนทั้งพิพิธภัณฑ์ได้ ทำไมจะหลอกนายจ้างไม่ได้” (หน้า 42) ทว่าในความจริงเธออาจหลอกใครก็ได้ยกเว้นตัวเธอเอง ภาพวาดดังที่เธอวาดหลอกในครั้งนี้อย่าง Impression, Sunrise คือการลงสีอย่างเร็วๆ เพื่อเก็บภาพยามพระอาทิตย์ขึ้นให้ไวที่สุดก่อนโผล่พ้นขอบฟ้า สัญญะของภาพชิ้นนี้คือการพยายามเก็บเกี่ยวความทรงจำอันมีค่าในช่วงระยะเวลาอันสั้น สิ่งที่เธอทำคือการหลอกตนเองให้ติดอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นมาแล้ว ด้วยหวังว่ามันจะคงอยู่ราวกับ ‘ภาพวาดที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง’ และไม่ว่าเธอจะวาดภาพนั้นเหมือนสักเท่าใด ความสัมพันธ์ที่จบลงก็ไม่อาจจะถูกสร้างซ้ำขึ้นมาได้ดังเดิม
เรื่องที่ 08 เล่าถึงเควิน ชายหนุ่มที่ในทุกคืนจะละเมอเดินไปขโมยเครื่องเพชรจากพิพิธภัณฑ์และเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้ตนเองว่า ‘ฉันรู้นะว่าแกทำอะไรเอาไว้ แกโดนเปิดโปงแน่’ (หน้า 79) ทว่าเมื่อตื่นเช้ามา เขาก็ไม่เคยจำสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อคืนก่อนได้เลย เรื่องราวของเควินสะท้อนตัวตนของมนุษย์ที่อาจเผลอสร้างความผิดพลาดลงในความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว และเมื่อความสัมพันธ์นั้นแย่ลงจนพังทลายในที่สุด มนุษย์ก็มักปฏิเสธความผิดของตนและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อหวังให้ตนยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่รู้สึกผิด การเขียนจดหมายของเควินจึงเหมือนกับ ‘ข้อความจากจิตใต้สำนึก’ ของมนุษย์ที่แม้จะปฏิเสธเท่าใด ก็ยังรู้อยู่เต็มอกว่าตนคือบุคคลที่ทำลายความสัมพันธ์นั้นลงเองกับมือ
แต่หากแบกรับความผิดนั้นไว้อย่างไม่รู้จักวิธีก้าวไปข้างหน้า สุดท้ายก็ไม่อาจจะใช้ชีวิตต่อไปได้เช่นกัน เหมือนในเรื่องที่ 14 ตัวละครหลักคือหญิงสาวผู้ป่วยเป็นโรคศพเดินได้ อาการจิตเวชที่เกิดจากความรู้สึกผิดหรือซึมเศร้าจนทำให้สมองเข้าใจผิดว่าตนเองตายไปแล้ว จึงไม่กินและไม่นอน แม้จะมีคนที่รักเธอคอยดูแลเคียงข้างและหวังให้เธอกลับมาหายดีเพียงใดก็ตาม สุดท้ายแล้วนี่ก็คือผลสะท้อนจากการเลือกใช้ชีวิตด้วย ‘ความรู้สึกผิดอย่างตายทั้งเป็น’ และติดอยู่กับความสัมพันธ์อันไม่อาจก้าวข้าม
การผิดหวัง: เมื่อบุคคลที่คิดว่ารู้จักดีกลับกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า
เรื่องสั้นอีก 5 เรื่องที่เหลือบอกเล่ามุมมองความสัมพันธ์แห่งการหลอกลวงซึ่งกันและกัน ผู้เขียนมักเล่าเรื่องของแต่ละตัวละครในด้านหนึ่งเพื่อสร้างภาพในหัวของผู้อ่าน และลบภาพนั้นออกอย่างไม่เหลือชิ้นดีด้วยการเฉลยหักมุมถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวละครนั้นในบทถัดมา ไม่ว่าจะในเรื่องที่ 09 ของตำรวจสาวที่แท้จริงแล้วเป็นมิจฉาชีพเรื่องที่ 12 ของหญิงคนรักของดีนที่จู่ๆ ก็กลับมา แต่ก็เฉลยว่าเป็นเพียงคนที่ถูกครอบครัวของดีนจ้างมาเพื่อให้เขายอมกลับบ้านเรื่องที่ 13 ของสองโจรคู่รักที่ในตอนท้ายกลับทรยศทิ้งอีกฝ่ายไว้ข้างหลังหรือเรื่องที่ 15 ซึ่งเฉลยย้อนกลับไปตั้งแต่หน้าแรกว่าเอริก้า หุ่นยนต์แอนดรอยด์หญิงในเรื่องที่ 01 แท้จริงกลับเป็นมนุษย์ แต่เป็นฟิลิปเสียเองที่ไม่รู้ตัวว่าตนเป็นแอนดรอยด์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสะท้อนว่าในความสัมพันธ์ชั่วคราว มนุษย์มักเลือกจะใส่หน้ากากแบบต่างๆ เพื่อปกปิดความไม่สมบูรณ์แบบหรือคำโกหกในอีกด้านเอาไว้ และเราจะไม่มีวันคาดเดาได้เลยว่าใครจะกลายเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์อีกชุดหนึ่ง
การยึดติดในความสัมพันธ์และวาดภาพตัวตนเพียงด้านเดียวของใครสักคนมักนำมาซึ่งความผิดหวังเสมอเมื่อพบว่าใครคนนั้นไม่ใช่แบบที่หวัง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมนุษย์มัก ‘ประเมินค่า’ บุคคลในชีวิต และคาดหวังให้ตนเองได้รับการประเมินค่าเป็นบุคคลสำคัญสำหรับผู้อื่นเช่นกัน ดังในเรื่องที่ 05 เมื่อหญิงสาวถูกจับตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ เธอจึงเพิ่งได้รู้ว่าคนรักของเธอประเมินค่าในตัวเธอไว้เท่าใด เขาโกหกและไม่ได้หยิบเงินออกมาทั้งตู้เซฟ แต่กลับตอบโจรออกไปว่า “นี่คือทั้งหมดที่ฉันมีแล้ว” (หน้า 49) ในวินาทีนั้นจำนวนเงินที่เขาหยิบออกมาจึงเท่ากับคุณค่าที่เขามอบให้เธอ ซึ่งหากเทียบกับชีวิตจริงของมนุษย์ จะมีโอกาสสักแค่ไหนกันเชียวที่คนเราจะรู้ถึงความจริงใจที่ใครสักคนมอบให้แก่เราในความสัมพันธ์
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะในช่วงชีวิตที่มนุษย์เจอกับความสัมพันธ์แบบใด แม้ในวันที่อยากหาเครื่องมือทั้งโลกมาเพื่อย้อนเวลากลับไปโอบอุ้มความทรงจำแสนล้ำค่า วันที่ตัวเราหมดความสำคัญในความสัมพันธ์ที่ยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่น วันที่ไม่อยากยอมรับว่าตนเองได้ทำผิดพลาดในความสัมพันธ์จนไม่อาจกู้คืน หรือแม้แต่ในวันที่ภาพของใครคนเดิมที่เคยรู้จักเปลี่ยนไปตลอดกาล ท้ายที่สุดชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
เพราะความสัมพันธ์คือธรรมชาติของมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์สร้างความสัมพันธ์ไว้มากมาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่จะสามารถรักษาไว้ได้ตลอดไป หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่องราวแต่ละเรื่องนั้นสั้นเสียเกินกว่าจะทันได้ผูกพันกับเนื้อเรื่อง และบางคนอาจหวังให้เรื่องราวในแต่ละบทมีหน้ากระดาษมากกว่านี้ ทว่าเรื่องราวก็จบลงตรงนั้นและขึ้นบทใหม่พร้อมทิ้งความสงสัยของเราไว้ในหน้ากระดาษแผ่นเดิม ในที่สุดนิ้วมือก็ต้องเปิดไปยังหน้าต่อไป เพราะรู้ว่าแม้จะย้อนกลับไปอ่านหน้าเดิม เรื่องราวก็จะไม่เปลี่ยนแปลง หนังสือเล่มนี้จึงไม่ต่างอะไรกับชีวิตมนุษย์ ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตหรือต่อเติมเรื่องราวที่จบไปแล้วได้ มีแต่ต้องก้าวต่อไปข้างหน้าและพบกับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจคาดเดา
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เรื่องราวแห่งความเจ็บปวดที่ได้รับจากการยึดติดอาจทำให้ผู้อ่านฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวเราเองที่เดินถอยออกมาจากในความสัมพันธ์หนึ่ง วันข้างหน้าก็อาจได้มีบทบาทในความสัมพันธ์และในความทรงจำของใครสักคนอีกครั้ง เริ่มใหม่และจบไป วนซ้ำไปเรื่อยๆ อย่างที่ว่า “เราทุกคนไม่ได้ถูกกำหนดให้รู้จักกันตลอดไป” แต่แน่นอนว่าในโลกอันแสนธรรมดาใบนี้ เราทุกคนก็เป็นเพียงมนุษย์ซึ่งอดไม่ได้ที่จะยึดติดอยู่กับความสัมพันธ์เพียงไม่ถึงสิบหน้ากระดาษ ราวกับพยายามจะลืมว่าเข็มนาฬิกาไม่เคยหยุดหมุน สุดท้ายแม้จะรู้อยู่แล้ว ก็อาจต้องเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจห้ามว่า “i don’t want a new chapter, i like the old one.”
อ้างอิง
โชติกา ปริณายก. (2565).i don’t want a new chapter, i like the old one. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แซลมอน