“อันกามการุณย์” : เสียงสะท้อนจากภรรยา แม่ ผู้รู้สึกเป็นอื่นในเพศสภาพของตน

วีรดา ยัฆพันธ์ 

 

 

          อันกามการุณย์ เป็นนวนิยายแนวกระแสสำนึก เขียนโดยลาดิด เล่าเรื่องราวในมุมมองบุคคลที่ 1 คือลลนา ผู้มีเพศกำเนิดเป็นหญิง มีสามีที่พอใช้ได้ในความคิดของเธอ มีลูกสาวที่น่ารัก มองผิวเผินคงเป็นครอบครัวที่เหมือนจะสมบูรณ์แบบตามนิยามของสังคม หากแต่ความเป็นจริงเธอกำลังรู้สึกแปลกแยกราวกับตัวเองเป็นคนอื่นในครอบครัวนี้ เธอเป็นแม่ แต่เธอก็รู้ดีว่าอยากเป็นผู้ชายจนคิดอยากเข้ารับการผ่าตัดเอาส่วนของร่างกายที่สื่อถึงความเป็นหญิงออกไป ประกอบกับเรื่องราวที่เธอตกหลุมรักชายแปลกหน้าผู้เชื้อเชิญเธอและลูกให้หลบฝนอย่างการุณย์ จนเธอเลือกทิ้งลูกและสามีไว้ที่บ้าน ใช้เวลาสนองความใคร่ที่บ้านของเขาอันเป็นที่ให้เธอได้เป็นตัวของตัวเอง

 

          ความเป็นแม่ที่ยึดโยงกับเพศหญิง

          ในช่วงที่ลัลลานาตั้งครรภ์ตลอดจนคลอด เธอสัมผัสถึงความเป็นแม่ผ่านสายสะดือที่เชื่อมโยงกับทารกน้อยในครรภ์ ซึ่งสายใยระหว่างแม่ลูกนี้สังคมเชื่อมโยงกับความเป็นหญิง ทั้งจากเหตุผลทางด้านชีววิทยาที่ร่างกายผู้หญิงออกแบบมาเพื่อให้กำเนิดทารก ทั้งมดลูกที่โป่งพองขึ้นแต่ละวันในขณะตั้งครรภ์ ไปจนถึงเต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมผลิตน้ำนม เธอไม่ชอบร่างกายที่เปลี่ยนไปจนตอกย้ำความเป็นหญิงเช่นนั้นเลย รู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนอื่น แต่กระนั้นก็ตาม ความรู้สึกอยากเป็นเพศชายมิอาจลดทอนสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก

            ลลนาเล่าถึงฉากการคลอดลูกสาวคนแรก ‘ลดา’ บรรยายถึงความเจ็บปวดไว้โดยอุปมาตนเองเป็นพื้นถนนที่ล้อรถบดขยี้ (หน้า 24) แต่เสียงร้องของลูกช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนั้นได้ สองห้วงอารมณ์ที่ขัดแย้งกันเติมเต็มความเป็นแม่ได้อีกขั้น

          การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งในฐานะแม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ลลนาต้องเผชิญกับความกดดันถาโถมเกินกว่าจะรับไหว หญิงสาวจึงอยากหนีจากความเป็นลูก เป็นแม่ เห็นได้จากที่เธออยากทิ้งลดาและณัฐไว้ที่บ้าน อยากโยนความเป็นแม่ออกไป เพื่อจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตนอยากใช้ในนามของลลนา มิใช่แม่ หรือภรรยาของใคร

 

            ความไม่มั่นคงทางอารมณ์และวิกฤติอัตลักษณ์ที่นำไปสู่การยึดชายแปลกหน้าเป็นบุคคลที่ตนรัก

          จากในเรื่องที่ลลนาต้องการเปลี่ยนตัวเองเป็นเพศชาย ส่งผลให้ณัฐซึ่งเป็นสามีเกิดความสับสนในตัวตนของหญิงที่เป็นภรรยา ที่ในวันนี้เธอดูมิใช่ภรรยาคนเดิมที่เคยรู้จักอีกต่อไป เมื่อพิจารณาทฤษฎีความสัมพันธ์ (Attachment Theory) ของ  John Bowlby และ Mary Ainsworth เปรียบกับลลนาที่มองตัวเองโดยอิงจากค่านิยมว่าภรรยาต้องมีความเป็นหญิงสาว ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกและความรู้สึกภายในจิตใจ เมื่อตนเองไม่เป็นไปตามนั้นจึงนำไปสู่การมองตนเองว่าไม่มีคุณค่าตามบทบาทดังกล่าว และมองณัฐซึ่งเป็นสามีในแง่บวกว่าเขายังคงพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาให้คงอยู่ เห็นได้จากการที่เขาขอร้องให้เธอช่วยชะลอกำหนดการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ นำไปสู่ความสัมพันธ์แบบหมกมุ่นหรือ Preoccupied ซึ่งบุคคลที่มีความสัมพันธ์แบบนี้มีความรู้สึกลึก ๆ ว่าตนเองไม่มีคุณค่า จึงต้องการยืนยันคุณค่าของตัวเองด้วยการใกล้ชิดกับคนอื่น

            เมื่อลลนาเจอชายหนุ่มผู้ให้ที่หลบฝนเธอกับลูกด้วยความการุณย์ในคืนนั้น จนเธอแอบไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเขาเรื่อยมา ในเรื่องบรรยายความรู้สึกจากมุมมองบุคคลที่ 1 คือตัวลลนาเองว่าเป็นความรัก เธอคิดกับเขาจริงจังมากกว่ามองเป็นเพียงวัตถุทางเพศ การได้ใกล้ชิดกับเขาทางกาย นำไปสู่ความรู้สึกผูกพันทางใจ เมื่อเขาไม่แสดงความกังขาต่อเพศวิถีของเธอที่มีความคลุมเครือ เธอแทนตัวเองว่าผมอันเป็นสรรพนามที่เพศชายใช้กัน แต่เธอดูแลลูกน้อย มีสามีเหมือนกับเพศหญิง เขายอมรับสิ่งนี้ การแสดงออกดังกล่าวทำให้ลลนาตกหลุมรักและมองเขาในฐานะสิ่งยึดโยงทางจิตใจที่ยืนยันว่าเธอยังเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า ซึ่งเธอรักเขาฝ่ายเดียวโดยคาดหวังลึก ๆ ว่าเขาจะรักเธอตอบ

 

            การแบกรับความกดดันและความรู้สึกไร้ค่าจากการตัดสินใจลาออกจากการเรียนแพทย์

          จากเรื่องที่ลลนาเคยเป็นนักศึกษาแพทย์ อนุมานได้ว่าเธอเป็นเด็กเรียนเก่งพอสมควร ซึ่งในสังคมไทยให้คุณค่ากับอาชีพแพทย์เป็นอย่างมาก รวมถึงพ่อของเธอภูมิใจมากเช่นกัน จนถึงขั้นอนุญาตให้ไปเที่ยวอิตาลีกับเพื่อนทั้งที่บ้านไม่ได้มีฐานะมากมาย แต่พ่อยอมเพราะบทบาทที่เธอเป็น เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ที่อธิบายถึงการให้ความหมายและคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคม แต่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตามประสบการณ์และค่านิยมของแต่ละคน เมื่อพ่อมีค่านิยมนี้และส่งผลให้ลลนาเลือกเรียนแพทย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการสร้างตัวตนที่มีคุณค่า ซึ่งเมื่อทำสำเร็จเธอได้ทั้งความรักและความภูมิใจราวกับเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาของพ่อ

            นานวันเข้าเธอรู้สึกว่าการเรียนแพทย์ไม่ใช่ทางของเธออีกต่อไป เธอมองชุดกาวน์ที่ตนสวมใส่เป็นผ้าห่อศพ (หน้า 53) สื่อถึงสัญญะของความตาย มองตัวเองว่าเป็นร่างไร้วิญญาณที่สูญสิ้นซึ่งความสุขและแรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตอันเป็นจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ ซึ่งประสบการณ์ตรงส่งผลให้เธอกำหนดความหมายและคุณค่ากับความเป็นนักศึกษาแพทย์ในเชิงปัจเจกที่ต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่ เธออยากลาโลกไปทุกขณะที่ฝืนทนเรียน  จนตัดสินใจดรอปเรียนเป็นบาร์เทนเดอร์ระยะหนึ่ง และลาออกในที่สุด เป็นช่วงที่พ่อท่วมท้นไปด้วยความผิดหวัง เริ่มหันหลังและเฉยชากับลูกสาว นานวันเข้าความสัมพันธ์พ่อลูกยิ่งห่างเหิน ประกอบกับหลังจากแม่ซึ่งเป็นคนสำคัญที่เข้าใจเธอเสียชีวิต เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ที่แม้พ่อจะมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ดังเช่นในอดีต สิ่งเหล่านี้ทวีความโดดเดี่ยวและเศร้าโศกในตัวลลนา

 

          เมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างลูกและชายชู้ ทางแยกระหว่างการเป็นแม่และเป็นมนุษย์ที่ทำตามความปราถนาของตน

          แม้ลลนาจะเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นแม่ที่ไม่ดีเพียงใด แต่เธอยังคงเป็นแม่ที่รักลูกไม่ต่างจากแม่คนอื่น เธอมีสัญชาตญาณความเป็นแม่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ  รู้ดีว่าหากลูกรู้ความว่าแม่รักและกระทำทางเพศกับชายอื่นทั้งที่ควรสงวนไว้ทำกับพ่อของลูกเท่านั้น รวมทั้งโกหกเขาหลายต่อหลายครั้งเพื่อไปหาชายชู้ ลดาคงผิดหวังและสูญสิ้นซึ่งความเชื่อในตัวผู้เป็นแม่ เธอไม่อยากให้ลูกรู้สึกเช่นนั้น แสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างบทบาทความเป็นแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูก และเจตจำนงเสรีในการทำตามความปรารถนาของตน แม้ว่าจะผิดศีลธรรม  เธอชั่งน้ำหนักระหว่างสองทางเลือกโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อลูก ท้ายที่สุดแล้วเธอจำต้องตัดขาดจากชายชู้ เพราะความกระจ่างในความรู้สึกว่าเขามิได้รักเธอเลย มีเพียงความการุณย์ ซึ่งในระยะหลังแปรเปลี่ยนเป็นความเวทนา โดยการตัดสินใจนี้มิได้มาจากความสมัครใจของเธอย่างแท้จริง แต่มาจากภาวะจำยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่นใด เมื่อรู้ว่าชายผู้นั้นไม่ได้รักเธอเหมือนอย่างที่เธอรักเขา  

 

          การมีความคาดหวังในตัวคนอื่นที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมของตนเอง ดังที่ลลนาคาดหวังให้ชายชู้มีเพียงเธอคนเดียว ซึ่งเธอผิดหวังอย่างมากเมื่อรู้ความจริงว่าเขามีผู้หญิงอื่นรับเลี้ยงอยู่แล้ว

          ซึ่งพฤติกรรมของลลนาที่มีครอบครัวแล้วแต่ไปมีกิจกรรมทางเพศกับคนอื่นเป็นพฤติกรรมที่ถูกสังคมแบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ยอมรับ สะท้อนความไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีของตน แต่ในขณะเดียวกันเธอกลับเรียกร้องความซื่อสัตย์จากชายชู้ เป็นความขัดแย้งทางจิตใจและบรรทัดฐานทางศีลธรรม ในเรื่องบรรยายโดยใช้คำว่ารัก ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่าชอบหรือใคร่ดังพฤติกรรมที่เธอมักสนองความใคร่ตนเองผ่านการเป็นผู้กระทำเขา เป็นการทวีความเด่นชัดของภาพความแตกต่างระหว่างความรู้สึกที่เธอมีให้และได้รับตอบแทน มีส่วนให้ผู้อ่านเห็นอกเห็นใจกับความรู้สึกเสียใจของลลนาที่แฝงนัยของการเสมือนถูกหักหลัง

          เมื่อพิจารณาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Sigmund Freud ที่แบ่งโครงสร้างจิตใจออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Id เป็นแรงผลักดันที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ Ego เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา ผ่านการรักษาสมดุลระหว่าง Id กับ Superego และ Superego ซึ่งเป็นจิตใจใฝ่ดีตามกรอบมโนธรรมของแต่ละบุคคล แสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างอารมณ์ปรารถนาความรัก การได้ครอบครอง (Id) กับมโนธรรมที่มนุษย์ควรมีความซื่อสัตย์ (Superego)  เป็นการตอกย้ำความเห็นแก่ตัวของลลนา ที่ไม่ซื่อสัตย์กับสามีแต่กลับคาดหวังให้ชายชู้ซื่อสัตย์กับตน เธอรู้สึกราวกับเป็นผู้ถูกกระทำที่ได้รับความ อยุติธรรมจากความรู้สึกที่ลงทุนไป แต่ในขณะเดียวกันเธอเป็นผู้ทำลายความเชื่อใจของสามีเช่นเดียวกัน

 

            พลังเชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน นำมาสู่การพยายามชดเชยความรู้สึกที่เท่าเทียมผ่านการแสดงออกซึ่งบทบาททางเพศที่แตกต่าง

          ความเป็นเพศหญิงมาพร้อมกับนัยของการถูกกระทำและเป็นผู้ตาม โดยเฉพาะในเรื่องการร่วมเพศที่ผู้เขียนสื่อถึงบ่อยครั้ง เมื่อเธออยู่กับณัฐผู้เป็นสามี หากเขามีอารมณ์ทางเพศและอยากปลดปล่อย  เธอยอมให้เขากระทำเช่นนั้นเสมอ มิได้รังเกียจ แต่ก็มิได้ชอบ เธอมองว่านี่คือวิธีหนึ่งในการแสร้งทำเหมือนว่าทั้งสองยังเป็นสามีภรรยา ซึ่งบทบาทบนเตียงของณัฐอยู่ในฐานะผู้กระทำเชื่อมโยงกับความเป็นชายที่สื่อถึงอำนาจที่เหนือกว่า เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นหญิงที่ถูกสังคมกำหนดให้เป็นผู้ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากโอบรับไว้

            แต่เมื่อเธออยู่กับชายชู้ เขาทำตัวราวกับเป็นตุ๊กตายางในร่างมนุษย์ให้เธอได้ระบายความใคร่ตามใจปรารถนา ซึ่งลลนามักจะเป็นฝ่ายผู้กระทำกับร่างกายเขา โดยที่ไม่มีอวัยวะอื่นใดของเขาล่วงล้ำในกายเธอ สิ่งนี้ทำให้เธอได้แสดงบทบาทผู้กระทำที่มีอำนาจควบคุม ที่แม้จะแสดงความไม่เท่าเทียมทางเพศ แต่เชื่อมโยงกับความเป็นชายที่เธอปรารถนาและปลดแอกจากความเป็นหญิงที่กดทับการแสดงออกของเธอ สิ่งนี้เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เธอรู้สึกได้เป็นตัวเองราวกับอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเมื่อได้อยู่กับเขา

 

          วิกฤติอัตลักษณ์ จากความสับสนในตัวตนสู่ความรู้สึกเป็นอื่นในชายคาบ้านตัวเอง

          ลลนาผู้มีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ชาย แต่เธออยู่ในร่างของเพศหญิง มีสามีและลูก เธออยู่ในสถานะภรรยาและแม่ สังคมกำหนดกรอบไว้ว่าการเป็นภรรยาและแม่ที่ดีควรเป็นอย่างไร โดยรวมไปถึงการดูแลตัวเองให้สวยงามเสมอ และสร้างความพึงพอใจให้สามีในเรื่องทางเพศอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งต่างจากความปรารถนาของเธอในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง โดยฉากหนึ่งซึ่งเน้นย้ำความรู้สึกแปลกแยกคือการต้องสวมเดรสลูกไม้และแต่งหน้าไปงานแต่งงานเพื่อนสนิทสามี (หน้า 148) เป็นการกระทำตามปรกติวิสัยของเพศหญิง แต่เธอคิดว่าการได้ใส่เสื้อผ้าผู้ชายแบบสามีและเพื่อนของเขาเป็นตัวตนของเธอมากกว่า

          แม้จะอยากเป็นผู้ชาย แต่เบื้องลึกยังคงเจ็บปวดเมื่อเปรียบเทียบรูปลักษณ์ตัวเองกับมาตรฐานความงามของเพศหญิง เห็นได้จากฉากที่เธอเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนผู้หญิงของสามีที่นั่งร่วมโต๊ะในงานแต่งงาน ว่าตัวเองสวยน้อยลงเพราะเวลาน้อย ต้องวุ่นเรื่องลูก รวมทั้งรูปร่างที่ไม่กระชับเพราะเคยตั้งครรภ์มาก่อน เธอมองถึงความต่างระหว่างผู้หญิงที่โสดกับผู้หญิงที่เป็นแม่  สะท้อนถึงความเจ็บปวดของผู้หญิงกับมาตรฐานทางสังคมที่กำหนดคุณค่าเพศหญิงโดยยึดโยงกับรูปลักษณ์และความเยาว์วัย ซึ่งเป็นสิ่งที่คงอยู่อย่างชั่วคราว แต่ในทางกลับกันสังคมมิได้ตัดสินคุณค่าเพศชายจากเรื่องรูปลักษณ์มากนัก มักให้คุณค่าไปที่อำนาจหรือความสามารถ อันคงอยู่ระยะเวลายาวนานกว่าและเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของปัจเจกบุคคล ต่างกับความงามและความเยาว์วัยที่ถูกกาลเวลาพลัดพรากได้

          เมื่ออยู่ที่บ้านเธอซุกซ่อนความเป็นชายเอาไว้ นอนเตียงเดียวร่วมกับสามีและลูก พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนกับลลนาคนเดิมผู้เป็น ‘ภรรยา’ ในสายตาเขา ทั้งไม่พูดด้วยสรรพนามแทนตัวว่า ‘ผม’ ดังที่เธอใช้กับชายชู้ รวมไปถึงโอบรับการสนองความใคร่ของเขาในฐานะผู้ถูกกระทำ การพยายามทำตัวให้เป็นปกติตามครรลองของสังคมนำมาสู่ความรู้สึกเป็นอื่นในบ้าน อันเป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่เป็นตัวเองมากที่สุด

          อย่างไรก็ตาม นวนิยายเรื่องนี้มิได้เป็นการสร้างความชอบธรรมของการมีชู้โดยให้เหตุผลไปถึงความเจ็บปวดและความสับสนที่ส่งผลให้คนหนึ่งตัดสินใจเช่นนี้  แต่เป็นการถ่ายทอดความคิดโดยใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบบุคคลที่หนึ่งเพื่อแสดงมุมมองและเหตุผลในแต่ละการกระทำของตัวละครลลนา ที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีทั้งด้านที่ขาวและเทาปะปนกันไป ไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือเลว ขึ้นกับมาตรฐานทางศีลธรรมของแต่ละคน

 

อ้างอิง

ลาดิด. (2567). อันกามการุณย์ non fa niente. พิมพ์ครั้งที่ 1. เพชรบุรี : ลาดิดและมูนสเคป

มาโนช หล่อตระกูล. (2554). ทฤษฎีจิตวิเคราะห์. สืบค้น 21 มีนาคม 2568, จากhttps://www.rama.mahidol.ac.th/ramamental/sites/default/files/public/pdf          

Visitors: 100,883