กี่บาด : กี่บาดแผลรอยเย็บปัก ถักทอลวดลายเส้นสายชีวิต

นิธิวดี สีดำ

 

 

          “แม่ญิงแม่แจ่มทุกคนต้องมีซิ่นตีนจกอย่างน้อยคนละหนึ่งผืน”  คำโปรยจากกี่บาด นวนิยายที่เล่าถึงเรื่องราวของผู้หญิงสามรุ่นในครอบครัวช่างทอผ้าซิ่นตีนจก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการทอผ้า เพื่อสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ สะท้อนถึงผ้าซิ่นเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของผู้หญิงล้านนา ยึดโยงกับวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย แม้เป็นผลงานชิ้นแรกของคุณประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริดแต่ด้วยความโดดเด่นในการถักทอเรื่องราวชีวิตลงบนลวดลายผืนผ้า จนสามารถคว้ารางวัลซีไรต์ ประจำปี 2567 มาครองได้อย่างสง่างาม

          นวนิยายเรื่องนี้น่าสนใจที่ตั้งชื่อเรื่องว่า กี่บาดมีความหมายทับซ้อนระว่าง กี่บาท อันเป็นราคา มูลค่าของซิ่น กี่ อันเป็นกี่ทอผ้าที่บาดมือผู้ทอ และกี่บาดแผล อันเจ็บปวดในวิถีชีวิตของช่างทอ เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์และบริบททางสังคมในแต่ละยุคสมัยผสมผสานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่องการทอผ้าเข้ากับเรื่องเล่าแนวบันเทิงคดีได้อย่างละเมียดละไม มีการใช้ภาษาท้องถิ่นนำเสนอทั้งอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา คติ ความเชื่อ ประเพณี ศาสนา  และการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม

          กี่บาดนำเสนอผ่านฉากหลังของวัฒนธรรมการทอผ้าแม่แจ่ม ผนวกกับประวัติศาสตร์พื้นที่สงครามโลกครั้งที่สอง กี่บาดได้พาผู้อ่านเดินทางเข้าสู่แม่แจ่ม พื้นที่ดูเหมือนอยู่ไกลจากกระแสหลักของสงคราม แต่กลับไม่อาจหลีกหนีพ้นจากแรงลุกคืบของสงครามที่แผ่เงาทะมึนถึงแม่แจ่ม  การแผ่ขยายของสงครามไม่ได้จำกัดอยู่แค่สมรภูมิใหญ่ หรือในกรุงเทพฯ อย่างที่เคยปรากฏในบทประพันธ์อมตะอย่าง คู่กรรม แต่ใน กี่บาดไฟของสงครามที่โหมกระพือมาถึงแม่แจ่ม ทำให้ตัวละครเจอการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณี ที่ต้องดำรงไว้ให้อยู่คู่กับสงครามที่มาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน 

           กี่บาด เปรียบเสมือนพื้นที่การต่อสู้ของผู้หญิงที่ประกอบด้วย3ภาคนับเป็นสัญญะของการส่งต่อ “พลังความเป็นหญิง” ในครอบครัว โดยนำเสนอผ่านผ้าซิ่นตีนจก 3 ส่วน 3 รุ่น ได้แก่เอวซิ่น แทนหญิงชรา (Crone) ผู้ส่งต่อมรดกวัฒนธรรม ตัวซิ่น แทนมารดา (Mother) สะท้อนบทบาทความเป็นแม่  และตีนซิ่น แทนหญิงสาวแรกรุ่น (Maiden) ตัวแทนแห่งความหวังในอนาคต  ผ่าน 16 บทที่ผู้เขียนตั้งชื่อตามเส้นสาย 16 ลวดลายบนผืนผ้าซิ่นตีนจก เอามาร้อยเรียงกับชีวิตของตัวละครที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับความทรงจำอันเจ็บปวดของของช่างทอในเรื่องว่ามีกี่บาดแผล 

 

เอวซิ่น : บาดแผลการกดทับความเป็นหญิง

          เรื่องราวของแม่หม่อนเฮือนแก้ว ในเอวซิ่น เปรียบเสมือนบทบันทึกชีวิตที่ถักทอด้วยเส้นด้ายแห่งความทุกข์และบาดแผลในวิถีเพศหญิง แม่หม่อนซึ่งเป็นผู้รับสืบทอดศิลปะการทอผ้าจากบรรพบุรุษ กลับต้องแบกรับความกดทับและบาดแผลทางเพศที่ถูกปลูกฝังผ่านกรอบวัฒนธรรมดั้งเดิม เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของผู้หญิงล้านนา ที่ชีวิตและชะตากรรมถูกขีดเขียนด้วย “กี่” ของระบบชายเป็นใหญ่   การที่แม่หม่อนเฮือนแก้วตกหลุมรักตุ๊เจ้าในวัยสาว ผู้มีกัณฑ์มัทรีเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ความรักต้องห้ามด้วยกรอบศีลธรรมนี้ ถูกแฝงฝังในนกสีเหลืองบนผ้าซิ่นลายละกอนกลางอย่างแยบยล ไม่เพียงแต่สะท้อนภาพของความรักต้องห้าม ในกรอบศีลธรรม หากยังเป็นบทพิสูจน์ถึงการต่อสู้ของความปรารถนาในหัวใจที่ถูกขีดเส้นกำกับโดยสังคม ความรักที่ดูเหมือนจะปลดปล่อยเธอในช่วงแรก กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงในชีวิตหลังแต่งงาน สามีผู้เป็นชายกลับทำลายทั้งผืนชีวิตและผืนผ้าของเธอ จนต้องหอบลูกหนีเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

            “กี่” ในเรื่องนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างกรอบอัตลักษณ์หญิงในสังคมที่ชายมีอำนาจเหนือกว่า การที่แม่หม่อนต้องทอผ้าเพื่อตอบสนองความคาดหวังของครอบครัว และเพื่อสร้างบุญให้ผู้ชาย ได้บวชรับใช้ศาสนา แสดงถึงกรอบความเชื่อที่กดทับบทบาทของผู้หญิง ถูกทำให้เชื่อว่าความเหนื่อยยากของแม่หญิงจะเป็นหนทางสู่บุญกุศลในชาติหน้า ราวกับชีวิตนั้นถูกผูกติดอยู่กับเส้นด้ายของการเสียสละเพียงฝ่ายเดียว  ดังคำสอนของแม่ที่ถ่ายทอดสู่แม่หม่อนเฮือนแก้ว  “เฮือนแก้วเฮย ชีวิตแม่ญิงเฮา ก็เท่านี้เลาะ จะเอาบุญบวชตุ๊บวชเณรอย่างป้อจายเขาบ่ได้ อาศัยมีวิชาติดตัวทอผ้าจีวรงามๆถวายทานเอาบุญกฐิน ถึงจะได้เกาะชายผ้าชายตุง ขึ้นสวรรค์กับคนอื่นเขา (กี่บาด 2567 : 27)

           ในขณะเดียวกัน บาดแผลที่ลึกสุดในชีวิตแม่หม่อน คือการพลัดพรากจากลูกสาวคนโต หลังจากถูกผู้ชายรุมโทรมทำร้าย สะท้อนความรุนแรงทางเพศที่ผู้หญิงต้องเผชิญในฐานะเหยื่อ โดยไร้อำนาจต่อรองความเจ็บปวดนี้เปรียบได้กับรอยด้ายที่ถูกรื้อออกจากลายผ้า หากจะเยียวยาให้สมบูรณ์ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น แต่มักจะเหลือร่องรอยของการถูกทำลายไว้เสมอ

           เป็นที่น่าสังเกตอีกว่า เรื่องราวของแม่หม่อนยังกล่าวถึง นางมัทรี ในมหาเวสสันดรชาดก ผู้หญิงที่ถูกบังคับให้เสียสละลูกเพื่อเป้าหมายของสามี เช่นเดียวกับแม่หญิงล้านนาที่ต้องเสียสละแรงกายและแรงใจเพื่อสนับสนุนให้ชายผู้เป็นที่รักได้สั่งสมบุญบารมี ความเหมือนกันเช่นนี้อาจเป็นการเน้นย้ำถึงการสะท้อนความเป็นหญิงในฐานะผู้ให้ ซึ่งแทบไม่เคยได้รับสิ่งตอบแทนอย่างเท่าเทียม ลักษณะดังกล่าวปรากฏชัดที่สุดผ่านแม่หม่อนที่เก็บตัวเพื่อทอซิ่นมัทรีผืนสุดท้ายก่อนสิ้นลมหายใจ เป็นการแสดงพลังครั้งสุดท้ายของหญิงที่ถูกกดทับตลอดชีวิต นอกจากเลือกสร้างบุญในแบบของตน ทว่ายังใช้ศิลปะการทอผ้าในการปลดปล่อยตัวเองจากกรอบที่สังคมกำหนด การสืบทอดที่เคยถูกมองว่าเป็นสมบัติ กลับกลายเป็นกรงขัง ที่กักขังความเป็นหญิงไว้ในกรอบของความเสียสละและความอดทน ชีวิตของแม่หม่อนจึงเป็นดั่งผืนผ้าที่ถักทอจากรอยบาดแผล แต่กลับแฝงพลังของการดิ้นรนและการลุกขึ้นยืนหยัดเป็นอย่างดี

 

ตัวซิ่น : บาดแผลความรุนแรงในสายสัมพันธ์ครอบครัว 

            ตามด้วย ตัวซิ่น คือเรื่องราวของแม่อุ้ยนาค หญิงสาวผู้ตกอยู่ในวงล้อมของความรักที่ไม่เท่าเทียมและความขัดแย้งที่หยั่งลึกในสายสัมพันธ์ของแม่ลูก แม่อุ้ยนาคต้องเติบโตมาท่ามกลางความลำเอียงของแม่ที่รักพี่บัวเงินมากกว่าเธอ ความรักที่ไม่เท่าเทียมนี้ถูกสะท้อนผ่านลวดลายของผ้าซิ่นโกมหัวหมอน ที่แม่ พี่บัวเงินและนาคทอร่วมกัน ลายของพี่เหมือนของแม่ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ลายของนาคไม่เหมือนใครในบ้าน ราวกับว่าลวดลายเหล่านั้นคือตัวตนของเธอที่ไม่อาจเข้ากับครอบครัวได้ แม้ชื่อแก้วเงินนาค จะบ่งบอกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่แม่อุ้ยนาคกลับไม่เคยสัมผัสถึงความอบอุ่นหรือความเท่าเทียมในชื่อที่เธอมี แม่เฮือนแก้ว ผู้เป็นแม่ เลือกปฏิบัติต่อลูกสาวทั้งสองอย่างชัดเจน เรียกพี่บัวเงินมาดูซิ่น แต่กลับใช้แม่อุ้ยนาคทำงานหนัก ในขณะที่พี่บัวเงินสะสมซิ่นไว้เป็นมรดก แม่อุ้ยนาคต้องขายซิ่นของตัวเองเพื่อจุนเจือครอบครัว จนกลายเป็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดปะปนกับความน้อยใจ

            เมื่อพิจารณาการมีพ่อที่มีระบบคิดชายเป็นใหญ่กดทับทุกคน  ทำให้แม่อุ้ยนาคกลัวในการมีชีวิตคู่แสดงถึงการต่อรองกับระบบคิดชายเป็นใหญ่ที่สังคมผลิตซ้ำและส่งต่อมาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น เห็นได้ชัดจากตอนหนึ่ง “ซิ่นลายนาคกุมหลายผืนที่ทอออกมาจากกี่แม่ เฮือนแก้วก็ใช้ด้ายสีมืดทึมขึ้นเรื่อยๆนาคกลัวว่าวันใดวันหนึ่งแม่จะทอซิ่นสีดำล้วนแล้วไม่กลับไปทอสีอื่นอีกเลย” (กี่บาด : 91)  ซิ่นลายนาคกุ่ม ที่แม่เฮือนแก้วทอในช่วงที่ครอบครัวถูกครอบงำด้วยความรุนแรงของพ่อสิงห์ คือสัญลักษณ์ของความทุกข์ที่มืดมน ลายนี้เปลี่ยนไปตามอารมณ์ที่แปรปรวนและความรุนแรงที่ทวีขึ้น ด้ายสีสว่างเริ่มถูกแทนที่ด้วยสีมืดหม่น จนแม่อุ้ยนาคหวาดกลัวว่าวันหนึ่งลายซิ่นของแม่จะกลายเป็นสีดำสนิท และไม่มีวันกลับไปสู่ความสว่างอีกต่อไป  ความรุนแรงในครอบครัวถูกวาดขึ้นด้วยภาพของขวดเหล้าที่พ่อสิงห์ทิ้งไว้ทุกวัน และรอยฟกช้ำบนร่างกายของแม่เฮือนแก้วกับลูกสาว ความรุนแรงนี้ไม่ใช่เพียงการกระทำทางกาย แต่ยังเป็นการกดทับจิตวิญญาณของแม่หญิงในครอบครัว ผู้ซึ่งต้องทนรับความทุกข์เพื่อรักษาสถานภาพและความอยู่รอด

         ในช่วงท้ายของชีวิต แม่อุ้ยนาคได้คลายลายโกมหัวหมอนเพื่อส่งวิญญาณแม่เฮือนแก้ว เหมือนเป็นการลอยเคราะห์กรรมและบาดแผลในความทรงจำให้พ้นไป ทว่ากลิ่นเลือดและเสียงดุด่ายังคงฝังแน่นในหัวใจของเธอ เช่นเดียวกับโกมหัวหมอนสีหม่นหมองที่ยังคงสะท้อนความรุนแรงและความขมขื่นในชีวิต  การที่แม่อุ้ยนาคเลือกทิ้งอดีตและลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองในท้ายที่สุด แสดงถึงพลังความเป็นหญิงที่ไม่ยอมจำนนต่อกรอบแห่งความเจ็บปวด เธอไม่ใช่เพียงผู้ถูกกระทำ แต่เป็นผู้เลือกสร้างหนทางใหม่ให้กับตนเอง แม้เส้นด้ายชีวิตจะเต็มไปด้วยรอยบาด เธอก็ยังกล้าคลายมันออกเพื่อทออนาคตของตัวเอง

 

ตีนซิ่น : บาดแผลเพศวิถีกับการก้าวผ่านข้อห้ามทางจารีตสังคม

          สุดท้าย ตีนซิ่น เป็นเรื่องของรุ่นหลานชาย บ่าหงส์ผู้เลือกวิถีชีวิตของตนเป็นหญิงขัดกับเพศกำเนิด และเป็นผู้สืบทอดมรดกการทอผ้าในครอบครัวซึ่งตามประเพณีวัฒนธรรมของล้านนาสงวนไว้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น การที่บ่าหงส์เลือกก้าวเข้าสู่โลกของการทอผ้าจึงเป็นการทำลายเส้นแบ่งทางเพศที่ถูกกำหนดมาอย่างยาวนาน การกระทำของเขาบอกเป็นนัยให้เห็นว่า การทอผ้าไม่ได้เป็นเพียงบทบาทของผู้หญิง แต่ควรเป็นของผู้ที่มีใจรักและความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ผ้าซิ่นตีนจกอย่างแท้จริง

           การนำเสนอภาพตัวละครบ่าหงส์ หลานชายที่มีนิสัยและกิริยาอาการดั่งแม่หญิง ทั้งยังเปี่ยมด้วยความสามารถในการเข้ากี่ ตีลายอย่างงดงาม ขณะที่ตัวละครจั๋นติ๊บ พี่สาวของบ่าหงส์ โดดเด่นด้วยไหวพริบและสติปัญญาอันเฉียบแหลม หากแต่ขาดคุณสมบัติที่สะท้อนถึงความเป็นกุลสตรีตามขนบ ผู้เขียนได้ถ่ายทอดแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับการยอมรับและซื่อสัตย์ต่อเพศสภาพภายในที่แท้จริง ด้วยการใช้ลีลาพาฝัน ตามขนบวรรณกรรมวาย พลิกกลับทัศนคติที่เคยมองเรื่องดังกล่าวว่าเป็น ขึด หรือสิ่งต้องห้าม ดังตอนหนึ่ง “ขึด คือเสนียดจัญไรที่จะติดตัวเวลาคนเราทำอะไรที่ไม่สมควรจะทำ เป็นป้อจายจะไปปะแป้งทาหน้ามันจะขึด เป็นป้อจายจะไปทาปากแดงมันจะขึด เป็นป้อจายจะไปนุ่งซิ่นมันจะขึด” (กี่บาด2567 : 151)

           ผู้เขียนตั้งใจใช้ลายขันเส้นซับไว้ในท้ายเรื่อง ซึ่งเป็นลายที่ทอยากที่สุด เปรียบเสมือนปมชีวิตของบ่าหงส์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการดิ้นรน ทั้งในระดับครอบครัวและสังคม การทอลายนี้สะท้อนอุปสรรคที่ยากจะก้าวข้าม ทั้งคำดูถูก การกดดัน และความเจ็บปวดจากการถูกตีตรา แต่กระบวนการทอยากเย็นนี้เองที่เปิดโอกาสให้บ่าหงส์ได้ถ่ายทอดจิตวิญญาณลงบนผืนผ้า ผู้เขียนเผยให้เห็นถึงการที่บ่าหงส์สวมซิ่นตีนจกฟ้อนเป็นนางสัตตบรรพ์ในงานจุลกฐิน เป็นจุดที่เขาได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของตนเองต่อสังคม ลายซิ่นที่เขาสวมสะท้อนถึงอัตลักษณ์และความกล้าหาญที่จะยืนหยัดในสิ่งที่เขาเป็น ซิ่นบนตัวบ่าหงส์ไม่ได้ทำให้โดนมองเหยียดน้อยลง กลับทำให้ได้เป็นตัวเองมากขึ้น ทว่ารักแรกของหงส์และจำเริญ ลูกชายนายอำเภอไม่เป็นไปดังใจหวัง  เพียงเพราะบ่าหงส์เลือกทิ้งเต่วมานุ่งซิ่น โลกของหงส์และจำเริญคงเหมือนเส้นพุ่งในลายขันสามแอว ซึ่งตีขนานกันตามแนวขัน ไม่มีทางบรรจบกันได้เลยในซิ่นผืนนี้ หากจะตีเส้นพุ่งสองเส้นให้บรรจบกันในขันเดียวกัน หงส์อาจจะต้องขึ้นกี่ ทอซิ่นผืนอื่น ลายอื่น  

           เมื่อเสียงสงครามสิ้นสุดลง หงส์ได้เริ่มต้นรักใหม่กับอินตาทหารหนุ่มญี่ปุ่นที่ช่วยชีวิตหงส์ไว้  ทว่าความสุขและอิสรภาพนี้กลับถูกบดบังด้วยโศกนาฏกรรม เมื่ออินตาคนรักของบ่าหงส์โดนมีดพร้าฟันตาย เหตุการณ์นี้เป็นรอยบากในชีวิตของบ่าหงส์ ทว่าผืนผ้าที่ถักทอขึ้นกลับกลายเป็นที่พึ่งทางจิตใจในวันที่เจ็บปวดที่สุด  ทั้งแม่อุ้ยและแม่หม่อนยอมรับและปล่อยให้หงส์เป็นตัวของตัวเอง แม่หม่อนปล่อยให้หงส์ได้ทอซิ่น แม่อุ้ยปล่อยให้หงส์ได้นุ่งซิ่น ไม่อยากให้นกอยู่ในโกมเหมือนซิ่นลายที่หงส์ใส่  พร้อมโบยบินขึ้นเป็นหงส์ที่สามารถเลือกวิถีทางชีวิตสะท้อนถึงตัวตนในฐานะสตรีได้อย่างสง่างาม

           เรื่องราวปิดจบลงด้วยลายเจียงแสนน้อย สัญลักษณ์ของการสืบทอดและการหลอมรวมจากลายเจียงแสนใหญ่ในตอนแรก ผู้เขียนต้องการเน้นย้ำถึงการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมเชียงแสนอันงดงามซึ่งบ่าหงส์ตั้งใจทอลายซิ่นที่รวมทุกลายของเจียงแสนไว้ในผืนเดียว  เพื่อส่งมอบมรดกวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลัง  ดังคำพูดของแม่หม่อนที่เคยกล่าวไว้  อั้นภายหน้าเป็นไปเป็นช่างทอที่ดีรักษาลายบ่ะเก่าหมู่นี้เอาไว้ให้ลูกหลานเน้อ” (กี่บาด2567: 218 ) เส้นฝ้ายที่เคยแตกแยกในรุ่นแม่อุ้ยและแม่หม่อน ถูกบ่าหงส์ทอรวมกันในผืนซิ่นลายขันสามแอว ผืนผ้าชิ้นนี้นับเป็นเส้นสายแห่งความรัก ความยอมรับ และการหลอมรวมในครอบครัว

           กี่บาดใช้ศิลปะการทอผ้าและลวดลาย สื่อความหมายและดำเนินเรื่องสถานะและบทบาทของผู้หญิงในสมัยก่อน ที่ผูกพันและถูกทำให้ผูกติดกับการทอผ้า กี่บาดจึงเปรียบได้กับบาดแผลเป็นที่ย้ำเตือนประสบการณ์อันเลวร้ายในชีวิต ต้องยืนหยัดให้เดินไปข้างหน้า  ทว่าเสียงของกี่ทอผ้าที่บรรจงถักทอเรื่องราวอันเป็นวัฒนธรรมของมานุษยชาติยังคงดังก้องเรียกร้องให้ผ้าซิ่นตีนจกดำรงอยู่อย่างมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น งามสง่า และทรงคุณค่าในโลกสมัยใหม่อย่างยั่งยืนต่อไป

 

อ้างอิง

ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด. (2567). กี่บาด (พิมพ์ครั้งที่ 2). คมบาง.

มรกต ณ เชียงใหม่. (2562). ความเท่าเทียมในสังคมที่ความสัมพันธ์ต่างเพศเป็นใหญ่  

 [ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ]. iThesis Srinakharinwirot University.http://ir-ithesis.swu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/801/1/gs571150061.pdf

 

Visitors: 100,883