ทับสมิงคลา และบรรดาเรื่องเล่าของเหล่าสัตว์
เส้นแบ่งระหว่างมนุษย์และสัตว์: ความสูงส่งหรือความไร้จริยธรรม
กณิศ เรืองขำ

กระแสเหล่า “น้อง” หรือสัตว์แสนน่ารักน่าชังที่สร้างรอยยิ้มให้กับใครหลายคนเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็อาจเป็นปรากฏการณ์ความน่ารักของ “หมูเด้ง” ที่สร้างความตื่นเต้นกับการไปเที่ยวสวนสัตว์ นั่นทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสัตว์บางชนิดก็มีหน้าที่มอบความเพลิดเพลินและความน่าเอ็นดูแก่สายตามนุษย์ ขณะเดียวกันก็มีสัตว์บางชนิดถูกมองด้วยสายตาอันเหยียดหยามและน่ารังเกียจหรืออาจถูกทารุณกรรม ล่า หรือฆ่าล้างด้วยความไร้จริยธรรมของมนุษย์เอง เช่นนั้นแล้วท่าทีและมุมมองของมนุษย์ที่ปฏิบัติตนต่อสัตว์แตกต่างกันไปกำลังบ่งบอกอะไรเราในโลกแห่งความหลากหลายทางธรรมชาติใบนี้กัน
รวมเรื่องสั้น “ทับสมิงคลา และบรรดาเรื่องเล่าของเหล่าสัตว์” เป็นผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มที่ 16 ของนักเขียนมือรางวัลระดับชาติอย่างอุเทน พรมแดง รวมเรื่องสั้นทั้ง 9 เรื่องนี้นำเสนอสัตว์หลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น งู, ช้าง, หมา, ลิง, จระเข้ หรือเหี้ย รวมไปจนถึงสัตว์ซึ่งไม่อาจระบุชนิดได้อย่างชัดเจน บรรดาสัตว์เหล่านี้ต่างเข้ามาแหวกว่ายในสายธารแห่งชีวิตและเข้ามาเกี่ยวข้องกันในหลากหลายมิติ
ตลอดเรื่องราวแต่ละเรื่องสั้น เราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์แต่ละตัวและมนุษย์ในหลากหลายมิติที่น่าสนใจ และเมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดของความสัมพันธ์ในแต่ละเรื่องแล้วจะพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์มีเส้นแบ่งระหว่างความเป็นมนุษย์กับสัตว์อย่างเด็ดขาด มนุษย์ได้สร้างเอกลักษณ์และตัวตนให้แตกต่าง ขณะเดียวกันก็ยัดเยียดสัตว์ให้มีฐานะความเป็นอื่นของมนุษย์ เส้นแบ่งดังกล่าว อุเทน พรมแดงนำเสนอผ่านการเล่าเรื่องด้วยมโนทัศน์ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (Anthropocentrism) พร้อมแฝงแง่มุมชวนให้ขบคิดเรื่องจริยธรรมระหว่างมนุษย์กับสัตว์ไว้อย่างแยบยล
มนุษย์เป็นศูนย์กลาง: มนุษย์ย่อมเป็นผู้ชนะเสมอ
ในเรื่องราวของ “ทับสมิงคลา และบรรดาเรื่องเล่าของเหล่าสัตว์” สิ่งที่เรามักเห็นเสมอในทุกการเรื่องเล่าของตัวละครมนุษย์นั่นคือมีแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Anthropocentrism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เสนอว่ามนุษย์พยายามสร้างเอกลักษณ์หรือตัวตนขึ้นมาเพื่อแยกตัวออกจากสัตว์ ผ่านการมีศีลธรรมและวัฒนธรรม แนวคิดดังกล่าวส่งผลให้มนุษย์สร้างความสูงส่งให้ตนเอง คิดว่าตนเองนั้นมีความพิเศษและมีคุณค่าเหนือสิ่งอื่น และลดทอนคุณค่าของธรรมชาติ
ในเรื่องสั้น “ทับสมิงคลา” เล่าเรื่องราวของครอบครัวของปราณกับงู “ทับสมิงคลา” ซึ่งถือว่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในประเทศไทย ด้วยพิษที่รุนแรงที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้อย่างง่ายดายทำให้ทับสมิงคลาเป็นสัตว์อันตรายต่อทุกสิ่งที่รุกรานมันเป็นอย่างยิ่ง ความน่ากลัวของงูทับสมิงคลาจึงมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์ดังที่กล่าวว่า
“ว่ากันว่างูทับสมิงคลาเป็นงูซึ่งมีพิษร้ายแรงที่สุดในประเทศนี้ พิษของมันออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รุนแรงขนาดล้มวัวควายได้เวลาไม่นาน แค่ได้ยินชื่อหลายคนยังขนพองสยองเกล้า” (หน้า 29)
เมื่อความหวาดกลัวและความประหวั่นพรั่นพรึงที่มีต่องูทับสมิงคลาส่งผลให้มนุษย์เกิดความรู้สึกต่อสัตว์มีพิษอย่างงูว่าเป็นศัตรู จนนำไปสู่การเหมารวมว่างูทุกชนิดเป็นอันตรายและไม่มีค่ามากเพียงพอต่อการให้งูดำรงชีวิตต่อไป เมื่อพบเจองูจึงมักฆ่าทิ้งเสมอ ในตอนที่ภรรยาของปราณพบงูตัวสีดำสลับขาวซึ่งนอนขดนิ่งในมุมห้องครัวและเข้าใจผิดว่าเป็นทับสมิงคลา จึงให้ปราณกำจัดงูนั้นออกไปโดยไม่สนใจว่าจะเป็นงูทับสมิงคลาตัวจริงหรืออาจเป็นงูชนิดอื่นที่ไม่มีพิษก็ตาม “ตีให้ตายไปเลยก็ดีนะ ถึงเป็นงูไม่มีพิษก็เถอะ ฉันกลัวมันแอบเข้าไปกัดลูก” (หน้า 18)
ความคิดเหมารวมดังกล่าวยังปรากฏในตัวละครพ่อของปราณ ปราณมักถูกพ่อสอนตั้งแต่เด็กว่า “ ‘เจองูเอ็งอย่าไว้ ยิ่งมีพิษยิ่งต้องกำจัดทิ้ง’ พ่อของปราณว่าแล้วยัดพลั่วใส่มือเขา ปราณรู้เห็นมาตลอดชีวิตเจองูครั้งใด…พ่อไม่เคยสนใจหรอกว่าเป็นงูชนิดไหน มีพิษหรือไม่ พ่อจะหยิบไม้หรือพลั่วเสียมใกล้มือมาฆ่าฟันมันให้แหลกลาญทุกคราวไป พ่อเชื่อของพ่อว่าพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอล้วนเป็นอันตรายต่อคนทั้งนั้น” (หน้า25-26)
ความคิดเหมารวมสัตว์มีพิษยังเป็นเสมือนม่านบังตามนุษย์ที่ทำให้มองไม่เห็นความจริงของธรรมชาติที่สร้างสรรพสิ่งให้สมดุลและลงตัว เมื่อปราณต้องลงมือฆ่างู “แสงอาทิตย์” ตามคำสั่งของพ่อ เพราะเชื่อว่างูแสงอาทิตย์มีพิษรุนแรง ทว่าปราณกลับมาค้นพบภายหลังว่าความเชื่อของพ่อล้วนเป็นสิ่งที่เข้าใจผิด งูแสงอาทิตย์ไม่ได้มีพิษ อีกทั้งงูแสงอาทิตย์ยังมีความสำคัญต่อการควบคุมประชากรงูพิษได้เป็นอย่างดี
“งูแสงอาทิตย์ยังมีความสำคัญต่อระบบนิเทศโดยรวมอย่างยิ่งยวด แม้ไร้พิษสงใด ไร้เขี้ยวพิษไม่ว่าเขี้ยวหน้าหรือหลัง ทว่างูชนิดนี้เชี่ยวชาญนักในการจับลูกงูพิษกินเป็นอาหาร ต่อให้เป็นงูพิษฤทธิ์ร้ายอย่างทับสมิงคลา สามเหลี่ยม งูเห่า ไปกระทั่งถึงจงอาง ขอแค่อีกฝ่ายมีขนาดพอเขมือบลงท้องได้” (หน้า 27-28)
นอกจากนี้ในเรื่องสั้น “จระเข้กินคน” ได้ถ่ายทอดความเหนือชั้นและอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์ของสัตว์เช่นเดียวกันผ่าน “จระเข้” ที่ชื่อว่าไอ้บอด ไอ้บอดเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่สิบศอก มีเรี่ยวแรงมหาศาลเขมือบควายฉกรรจ์ได้ทั้งตัวในคราวเดียว รวมไปถึงกินมนุษย์เป็นอาหาร อีกทั้งความเหนือชั้นกว่ามนุษย์ของไอ้บอดยังยึดโยงเกี่ยวข้องกับความเชื่อในฐานะที่ไอ้บอดเป็นเทพ มีการสร้างรูปปั้นบูชาจระเข้ไอบอด และต้องเชือดวัว ควาย หมูเพื่อเซ่นสังเวย
“นับตั้งแต่นั้นจระเข้เจ้าถูกยกฐานะให้เป็นดุจดังเทพเจ้าที่ต้องกราบไหว้บูชา หมอผีชราย้ำยืนว่าคำพูดของตัวเองศักดิ์สิทธิ์และถูกต้องทุกอย่าง มนุษย์ต่ำต้อยไม่อาจฆ่าจระเข้เจ้าให้สิ้นลมหายใจได้” (หน้า 192)
จนกระทั่งชาคาตัดสินใจล้างแค้นให้กับปู่และลูกชายคนโตที่ถูกไอ้บอดเขมือบกินเป็นอาหาร ชาคาตัดสินใจรวบรวมคนชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เพื่อกำจัดไอบอดให้สิ้นซาก การต่อสู้ระหว่างชาคาและจระเข้ไอ้บอดจึงถือเป็นการแสดงพลังอำนาจ ความเหนือชั้น และพละกำลังของแต่ละฝ่าย แม้ในช่วงแรกไอ้บอดจะมีความแข็งแกร่ง มีพลังอำนาจที่เหนือกว่า ไอ้บอดข่มขวัญให้มนุษย์ที่แม้กระหน่ำสาดกระสุนปืนใส่ก็ยังไม่เจาะทะลุหนังหนา ๆ ของมันรู้สึกสิ้นหวังจนต้องถอยหนี ทว่าท้ายที่สุดไอ้บอดก็ถูกจัดการด้วยกับดักหลุมพรางของชาคา ชัยชนะจึงเป็นของฝ่ายมนุษย์โดยสมบูรณ์
แม้ความเหนือชั้นของสัตว์จะมีอำนาจกดข่มจิตใจและความรู้สึกของมนุษย์ที่แสนบอบบางและอ่อนแอกว่าให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวได้ แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับความเป็นมนุษย์ที่สูงส่งกว่าสัตว์ในด้านสติปัญญาซึ่งเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์มี ดังที่ชาคากล่าวกับพ่อว่า “สมองไงพ่อ ไอ้บอดจะฉลาดแค่ไหน มันก็ฉลาดไม่เกินมนุษย์หรอก” (หน้า198)
จะเห็นได้ชัดว่าสัตว์ย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่มนุษย์เสมอ ความอาฆาตพยาบาท และการรุกรานทำร้ายสัตว์เกิดขึ้นเพราะความคิดของมนุษย์ที่คิดว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวงและความพยายามลดทอนคุณค่าของสัตว์ ขณะเดียวกันการฆ่าหรือล่าสัตว์เหล่านี้นำไปสู่การตั้งคำถามต่อระบบศีลธรรมของมนุษย์ด้วยว่าสัตว์ที่ออกมาทำร้ายมนุษย์ สัตว์เหล่านี้ถือเป็นฆาตกร กลับกันหากมนุษย์ลงมือฆ่าหรือทำร้ายสัตว์เหล่านั้นถือเป็นความชอบธรรมที่จะสามารถกำหนดความเป็นหรือความตายให้กับสัตว์ได้
“พญาจระเข้ตัวนี้เคยเขมือบคนที่เขารักไปถึงสองคน มันต้องถูกเขากินเนื้อเพื่อเป็นการชดใช้เช่นกัน” (จระเข้กินคน, หน้า 205)
วัตถุนิยม อัตลักษณ์ และความเป็นอื่นในสัตว์
ไม่เพียงแค่แนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางจะทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่น แต่ยังส่งผลให้ธรรมชาติที่มีชีวิตอย่างสัตว์ถูกทำให้กลายเป็นอื่นเพื่อตอกย้ำเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในเรื่องสั้นของอุเทน พรมแดง สัตว์แต่ละชนิดถูกทำให้กลายเป็นอื่นในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น วัตถุนิยมเพื่อตอบสนองความต้องการและถูกแบ่งแยกตามอัตลักษณ์สัตว์
ในเรื่องสั้น “กลายเป็นช้าง” เล่าเรื่องราวของช้างที่พุ่งเข้าทำร้ายชาวบ้านจนตาย จนกลายเป็นข่าวครึกโครม ผู้ใหญ่ศรุตพยายามค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง กระทั่งศรุตพบว่า รัฐบาลพยายามอ้างว่าปัญหาช้างออกมาทำร้ายชาวบ้านเกิดขึ้นจากความอุมดมการณ์ของป่าลดลง พื้นที่หากินของช้างจึงน้อยลงไปด้วย แต่ความจริงที่ซุกซ้อนอยู่ใต้พรมนั้นคือช้างที่ออกมาทำร้ายมนุษย์คือช้างเร่ร่อนและช้างเลี้ยงที่แอบนำมาปล่อยกลางดึกของนักการเมืองหรือข้าราชการ เพราะพวกเขาเชื่อว่าหากปล่อยช้างเข้าป่าถือเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่กว่าปล่อยสัตว์ชนิดอื่น
“พวกนักการเมืองหรือข้าราชการเจ้าใหญ่นายโตหลายรายนิยมชมชอบทำบุญด้วยวิธีปล่อยช้าง ถึงวาระครบวันเกิดก็กว้านซื้อช้างเร่ร่อนริมถนนมาปล่อยเข้าป่ากันตามใจชอบ” (หน้า 55)
กล่าวได้ว่านี่คือความจริงอันแสบสันของสังคมไทยที่ถูกครอบงำด้วยกระแสวัตถุนิยมในสัตว์ผสมผสานความเชื่อเรื่องบุญกุศลซึ่งผิดเพี้ยนไปจากหลักการของพระพุทธศาสนา ช้างจึงถูกผลักไสให้กลายเป็นสินค้าซึ่งมีสถานะความเป็นอื่น มนุษย์จึงใช้ช้างเพื่อผลประโยชน์และตอบสนองความต้องการเพียงเท่านั้น
นอกจากนี้อุเทน พรมแดงยังเล่นประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ของสัตว์ซึ่งทำให้สถานะของสัตว์ด้อยกว่ามนุษย์อย่างชัดเจน กล่าวคือ สัตว์ถูกแบ่งเป็นประเภทเป็น “สัตว์ป่า” และ “สัตว์เลี้ยง” การแบ่งสัตว์ออกเป็นสองประเภทส่งผลให้มนุษย์มีทัศนคติและการปฏิบัติต่อสัตว์ทั้งสองประเภทแตกต่างกัน
ในเรื่องสั้น “บ้านสารพัดสัตว์” จะเห็นภาพการดูแลเอาใจใส่อย่างดีต่อสัตว์เลี้ยงของแจนจากยายดอกรัก เนื่องจากแจนมีนิสัยชอบเห่อเลี้ยงสัตว์หลายชนิดตามเพื่อนจึงมักซื้อสัตว์หลายชนิดมาเลี้ยง แต่ด้วยความเหลวไหล สัตว์เลี้ยงทุกตัวของแจนกลับไม่ได้รับการดูแล ถูกขังไว้ในห้องจนมีกลิ่นสกปรกคละคลุ้งไปทั่วบ้าน จนยายดอกรักต้องเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของแจนด้วยความเมตตาสงสาร
“หญิงชรายังมีภาระดูแลสัตว์เลี้ยงสารพัดชนิดเหล่านั้น เจ้าชาร์โคลดูจะต้องการความเอาใจใส่มากกว่าสัตว์ตัวอื่น ทุกวันเช้าเย็นยายดอกรักต้องเทอาหารจากกระสอบใส่ชามให้มันกิน คอยเติมน้ำไว้ไม่ให้แห้ง เห็นกองขี้สีดำเหม็นหึ่งก็ต้องแง้มประตูกรงตักขี้ออกไปทิ้ง เจ้าชาร์โคลยังเป็นหมาเมืองนอกขนหนา มันขี้ร้อนเหนื่อยหอบง่าย กลางวันยายดอกรักคอยเปิดพัดลมทิ้งไว้ให้มัน กลางคืนจุดยากันยุงวางไว้ขดหนึ่ง” (หน้า 149)
เช่นเดียวกันในเรื่องสั้น “หมาของแม่” เห็นลักษณะการปฏิบัติเป็นอย่างดีต่อสัตว์ในฐานะสัตว์เลี้ยง แม่ของทิวเก็บหมาสองตัวชื่อว่าไข่ตุ๋นและไข่พะโล้มาเลี้ยงด้วยความสงสาร อีกทั้งแม่ของทิวยังเชื่ออีกว่าหมาสองตัวนี้จะช่วยคลายเหงาให้ตนเองในยามที่พ่อของทิวจากโลกนี้ไปแล้ว
“หนุ่มใหญ่รักหมาเหมือนกับแม่ ผ่านโลกมายี่สิบกว่าปีเข้าไปแล้วเขายังตื่นเต้นยามเห็นลูกหมาไม่ต่างจากครั้งยังเป็นเด็กชาย เขาช่วยแม่ป้อนนมกับกล้วยน้ำว้าให้ลูกหมาสองตัวนั้น แม่บอกว่าลูกหมากินนมวัวไม่ได้ แม่ลงทุนขับรถกระบะคันเก่าของพ่อไปหาซื้อนมแพะกระป๋องจากตลาดในตัวอำเภอมาให้ลูกหมากิน” (หน้า 69)
เห็นได้ชัดเจนว่าการนำสัตว์มาเลี้ยงเป็นการประกอบสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ของสัตว์เสียใหม่ตามความต้องการของมนุษย์เพื่อแสดงถึงอำนาจที่เหนือกว่าของมนุษย์ สัตว์เลี้ยงในแต่ละเรื่องจะถูกมนุษย์มองเป็นสิ่งของในการครอบครองของตนที่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ดีมนุษย์ก็ย่อมปฏิบัติและดูแลอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเรื่อง “สัตว์ร้ายในป่าลึก” ที่มนุษย์กลับลงมือล่าสัตว์เหล่านี้เอง
ในเรื่องสั้น “สัตว์ร้ายในป่าลึก” แสดงลักษณะการปฏิบัติและทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อสัตว์ป่าอย่างรุนแรง อีกทั้งความน่าสนใจของเรื่องสั้นนี้คืออุเทน พรมแดงใช้วิธีการ “ทำคนให้เป็นสัตว์” โดยทำให้ตัวละครมนุษย์ “บุญทิ้ง” มีลักษณะรูปร่างภายนอกมีขนงอกยาวเหมือนกับสัตว์ป่าอย่าง “ลิง” จนบุญทิ้งได้รับฉายาล้อเลียนจากเพื่อน คุณครู และคนในหมู่บ้านว่า “ไอ้ลิง”
“‘นั่นมันคนหรือตัวอะไรวะ ทำไมขนยาวแบบนั้น’ เด็กใหม่พูดขึ้น ‘แล้วมันชื่ออะไร’ มีใครคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนตอบเสียงว่า…ไอ้ลิง” (หน้า 229)
“‘ครูว่าเธอเหมือนสัตว์ป่ามากกว่ามนุษย์นะเจ้าลิง’ ครูใหญ่เป็นอีกคนที่ชอบแกล้งเจ้าลิงเล่น ชายวัยกลางคนหัวเถิกมักเอ่ยซ้ำ ๆ ด้วยถ้อยคำเทือกนั้นยามเห็นหน้าเจ้าลิง” (หน้า 232)
นอกจากการประกอบสร้างภาพลักษณ์ภายนอกของบุญทิ้งแล้ว ยังมีพฤติกรรมกลั่นแกล้งของคนภายในหมู่บ้านอย่างโหดร้ายที่สลัดความเป็นมนุษย์ของบุญทิ้งออกไปเพื่อเติมเต็มความเป็นสัตว์ป่าให้สมบูรณ์
“‘เร็วเข้าเจ้าลิง เป็นลิงก็ต้องชอบกินกล้วยสิ เก็บกล้วยขึ้นมากินให้เพื่อน ๆ ดูเดี๋ยวนี้’ครูใหญ่ตะคอกสั่ง” (หน้า 232)
“‘ต้องทำท่าลิงและร้องเหมือนลิงด้วยสิมันถึงจะเหมือนลิงจริง ๆ เร็วเข้า…ทำท่าลิงแล้วก็ร้องเจี๊ยก ๆ ไปด้วย…’ชายหัวเถิกสั่งอีก” (หน้า 233)
บุญทิ้งถูกรังแกไปจนไร้อำนาจในการต่อรองและการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง สถานะของบุญทิ้งตกต่ำลงจนไม่ลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป บุญทิ้งจึงไม่ต่างอะไรจากสัตว์ป่าตัวหนึ่ง
“และดูเหมือนตอนนั้นเองที่มีคนสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่า เจ้าลิงมีเขี้ยวและเล็บงอกออกมาราวกับกำลังกลายเป็นสัตว์ป่า ขณะเส้นขนดำปกคลุมเนื้อตัวและหัวหูก็ยาวกกว่าขนของลิงกอริลลาไปมากแล้ว” (หน้า 235)
กระทั่งบุญทิ้งถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของไฟไหม้บ้านยายดอก บุญทิ้งจึงต้องหนีเข้าไปในป่าลึกนั่นยิ่งทำให้บุญทิ้งกลายเป็นสัตว์ป่าอย่างสมบูรณ์ ท้ายที่สุดบุญทิ้งก็ต้องพบกับจุดจบอันแสนเศร้าที่เพื่อนรักในวัยเด็ก “แดนไท” เดินทางเข้าป่าลึกเพื่อออกล่าบุญทิ้ง
“วูบนั้นแววตาของสัตว์ร้ายตรงหน้าดูราวกับดาราจักรซึ่งบรรจุดวงดาวแห่งความเศร้าทั้งหมดทั้งมวลไว้ภายใน นานเท่านานเขาจึงเห็นมันสายหน้าแช่มช้าคล้ายตอบคำถามเมื่อครู่ ค่อย ๆ หันหลังบ่ายหน้ากลับไปยังทิศทางของป่าลึก แล้วเริ่มสืบก้าวด้วยขาสี่ขาเยี่ยงสัตว์ป่า วินาทีต่อมา เสียงปืนก็แผดเปรี้ยงสะท้านสะเทือนไปทั้งราวไพร” (หน้า243)
ชีวิตของตัวละคร “บุญทิ้ง” รวมไปถึงการล่าสัตว์หรือการฆ่าบุญทิ้งในตอนจบคือการแสดงอำนาจของมนุษย์ที่เหนือกว่าสัตว์ ประกอบกับภาพความเป็นอื่นอันน่าปวดร้าวและชวนเวทนาในชะตากรรมของบุญทิ้งที่ถูกฆ่าในฐานะเหยื่อเพื่อมอบความชอบธรรมให้แก่มนุษย์ในการออกล่าสัตว์ได้อย่างไร้ศีลธรรมและกดขี่ธรรมชาติ
รวมเรื่องสั้น “ทับสมิงคลา และบรรดาเรื่องเล่าของเหล่าสัตว์” ของอุเทน พรมแดนไม่ได้เพียงแค่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังตีแผ่ให้ถึงความน่ากลัวและตัวตนความเป็นมนุษย์ที่ลุ่มหลงกับความสูงส่งของตนเอง จนมองเห็นตนเองเป็นศูนย์กลาง (Anthropocentrism) ขณะเดียวกันก็สร้างเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ พร้อมผลักไสความเป็นอื่นให้แก่สัตว์เพื่อให้มนุษย์สามารถปฏิบัติต่อสัตว์ได้อย่างไร้จริยธรรมและศีลธรรม
มุมมองดังกล่าวอาจเป็นมุมมองที่แคบเกินไป และเป็นมุมมองที่ขัดต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ เพราะความเป็นมนุษย์ถูกเจาะพรุนไปด้วยร่องรอยของสรรพชีวิตที่วิวัฒนาการมาก่อนหน้า หากปราศจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อย่างแบคทีเรีย สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์ประเภทอื่น ๆ ก็คงไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์”
ในท้ายที่สุดนี้รวมเรื่องสั้นของอุเทน พรมแดงทำให้เราได้ “ค้นพบ” และ “ตระหนัก” ถึงความเป็นมนุษย์ในโลกแห่งความหลากหลายทางธรรมชาติที่ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่อย่างเชื่อมโยงกัน ดังนั้นทุกชีวิตจึงมีสิทธิเท่าเทียมที่จะอาศัยและดำรงอยู่โดยได้รับความเคารพต่อกัน และหากยังคงมีเส้นแบ่งที่ทำให้ระบบศีลธรรมกับจริยธรรมของมนุษย์บิดเบี้ยวต่อไป มนุษย์เราก็อาจไปสู่จุดจบที่ไม่อาจหวนคืนธรรมชาติกลับมาได้อีก
อ้างอิง
อุเทน พรมแดง. (2567). ทับสมิงคลา และบรรดาเรื่องเล่าของเหล่าสัตว์. สำนักพิมพ์อินเทรนด์.
กิตติกานต์ หะรารักษ์. (2563). การต่อรองกับแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง : กรณีศึกษานวนิยายร่วมสมัยที่มีสัตว์เป็นผู้เล่าเรื่อง [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อพัฒนาประเทศไทย. https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/4527/