เมื่อ ‘ทุนนิยม’ ทำให้ความเป็นคนสูญสิ้น : สำรวจ ‘การสูญเสียความเป็นมนุษย์’ ของตัวละครในนวนิยายเรื่อง ‘แชมเปญจ์น ซูเปอร์โนวา และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี’

ปุณยนุช มงคลฉายา 

 

 

            “วันคืนเหล่านั้นกัดกินชาลี แม้ชีวิตจะยังอยู่ มีลมหายใจ แต่วิญญาณกลับเหมือนตายไปแล้ว ชาลีกลายเป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่ซังกะตายอยู่ในร่างของพนักงานกินเงินเดือนโดยไม่มีใครสังเกต เมื่องานของชาลียังไม่มีที่ติ เขายังรับผิดชอบงานของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นฟันเฟืองให้การพุ่งทะยานไปข้างหน้าของบริษัทราบรื่นดังเดิมเกินกว่าจะมีใครเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติจากเขา...” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.187)

            ข้อความข้างต้นตัดตอนมาจากส่วนหนึ่งในนวนิยาย ‘แชมเปญจ์น ซูเปอร์โนวา และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี’ ผลงานจากปลายปากกาของพิชา รัตนานคร ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทนวนิยาย ประจำปีพุทธศักราช 2567 อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในหนังสือที่ได้เข้าชิงรอบคัดเลือก (Shortlist) รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประเภทนวนิยาย ประจำปีพุทธศักราช 2567 อีกด้วย

            ‘แชมเปญจ์น ซูเปอร์โนวา และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี’ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ชาลี’ ตัวละครเอกของเรื่องที่ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ในเมืองด้วยชีวิตที่ว่างเปล่า ไร้เป้าหมาย และไม่ได้โดดเด่นในสายตาใคร ชาลีพยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้ง แต่ก็หาสาเหตุไม่พบว่าทำไมตนจึงฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ กระทั่งชาลีได้พบว่ามีคนชื่อชาลีอีกคนหนึ่ง เขาจึงตามไปหาจนพบ หลังจากเสียงปืนดังขึ้น ชาลีก็เหลือแค่คนเดียว

            นอกจากการตีแผ่ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนในเมือง และการสะท้อนสภาวะจิตใจของคนในโลกร่วมสมัยแล้ว สิ่งหนึ่งที่นวนิยายได้สอดแทรกไว้เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนั่นคือผลกระทบของระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของผู้คนในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือการทำให้ ‘ความเป็นมนุษย์’ ถูกลดทอนลงจนถึงขั้นสูญสิ้นไป ดังที่เสาวณิต จุลวงศ์ ได้เสนอไว้ว่า “ประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับทุนนิยมที่วรรณกรรมไทยมักหยิบยกมาแสดงให้เห็นว่าเป็นผลพวงหรือผลกระทบจากเศรษฐกิจระบบทุนนิยมคือการสูญเสียความเป็นมนุษย์ หรือมนุษยธรรม (humanity) คือความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือมีความตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ที่มีเกียรติภูมิศักดิ์ศรี มีคุณค่า หรือมีความดีงาม (เสาวณิต จุลวงศ์, 2561, น.35)

 

ลูกน้อง : ผู้ไร้ซึ่งการตระหนักถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์

            ในเรื่อง ‘แชมเปญจ์น ซูเปอร์โนวา และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี’ นำเสนอให้เห็นว่าทุนนิยมได้บีบคั้นคนที่ทำงานภายใต้ระบบนี้โดยเฉพาะลูกน้องซึ่งเป็นพนักงานตัวเล็กตัวน้อยให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ในแง่ที่ไม่สามารถตระหนักได้ว่าตนเองมีคุณค่า มีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี หรือมีความสามารถในด้านต่าง ๆ อย่างที่มนุษย์พึงตระหนัก การนำเสนอในแง่นี้จะเห็นได้ชัดเจนผ่านตัวละคร ‘ชาลี’ ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง

นวนิยายได้บรรยายภูมิหลังของตัวละครชาลีว่าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซึ่งขับเคลื่อนไปด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ชีวิตของเขาดำเนินไปตามครรลองของมนุษย์เงินเดือนอย่างซ้ำซากและจำเจในแต่ละวัน ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า “วันต่อมา ต่อมา และต่อๆ มาทุกอย่างดำเนินไปในรูปแบบเดิมราวกับหนังฉายซ้ำ ชาลีไปถึงที่ทำงานเจ็ดโมงสี่สิบห้า นั่งอยู่ในคอกของตัวเองสี่ชั่วโมงเพื่อทำเอกสารให้เซลล์คนโน้นคนนี้ พอถึงเที่ยงก็ลงไปหาอะไรกินตามลำพัง ใช้เวลาพักทั้งสิ้นยี่สิบนาทีแล้วก็กลับขึ้นมารับมือกับงานภาคบ่ายที่ยุ่งเหมือนเดิม ความวุ่นวายไร้รอยต่อระหว่างเช้ากับบ่ายจะไหลมาเทมาอย่างไม่จบสิ้นเช่นนั้นไปจนหมดวัน” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.30)

            ชาลีทำงานเช่นนั้นจน “เขาเริ่มชินกับความเร็ว ชินกับความวุ่นวาย ชินกับความอึกทึก ชินกับเสียงโทรศัพท์ดังระงม ชินกับจังหวะจะโคนว่าต้องทำอะไรอย่างไรอันไหนก่อนอันไหนหลัง” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.30) ความเคยชินของชาลีเกิดจากการที่เขาต้องทำงานแบบเดิมซ้ำ ๆ มานานหลายปี กระทั่งในที่สุด ‘งาน’ กับ ‘ชาลี’ ก็ได้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เขา “ยังคงทำเอกสารในการซื้อขายฉบับแล้วฉบับเล่า ทำจนสมองไม่ต้องคิด ปล่อยให้ร่างกายขับเคลื่อนกระบวนการทุกอย่างไปโดยอัตโนมัติ สิ่งที่ชาลีเป็นมันเหนือกว่าจะใช้คำว่าชำนาญ มันกลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เขาทำไปอย่างไม่รู้ตัว ซึมเข้าไปในมัดกล้ามเนื้อและเส้นประสาทราวกับเขาเกิดมาเพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะ” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.68) แสดงให้เห็นว่างานได้ซึมซาบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชาลี จนชาลีเองไม่สามารถที่จะแยกตัวเองออกจากงานได้อีก งานที่บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชาลีค่อย ๆ กัดกลืนตัวตนของเขา จนสุดท้ายชาลีก็ต้องยอมสยบต่ออำนาจของมัน ปล่อยให้งานบงการเขา ไม่ใช่เขาควบคุมงาน ในแง่นี้เขาจึงสูญเสียตัวตนให้กับงานและกลายเป็นทาสของงานในที่สุด ซึ่งเป็นภาวะที่ชาลีรู้สึกว่า “ต่อให้ไม่อยากจำร่างกายก็ลืมไม่ลง” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.31)

            กระนั้น ชาลีก็ไม่คิดที่จะออกจากงาน เขายังคงทำงานอยู่ที่บริษัทเดิมและตำแหน่งเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง เขา “ก้มหน้าก้มตาทำงานราวกับคำสาป” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.150) จนชาลีตระหนักได้ว่า นอกจากงานจะซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและตัวตนแล้ว ในเวลานี้ชีวิตของเขา “กลายเป็นเครื่องจักรในกระบวนการผลิตไปอย่างสมบูรณ์” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.150) แสดงให้เห็นว่างานได้มีอำนาจเหนือชาลีมากเสียจนกระทั่งเขาไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองมีคุณค่าใดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับมองว่าตนเป็นเพียง ‘เครื่องจักรในกระบวนการผลิต’ ที่มีไว้เพียงเพื่อผลิตงานให้กับบริษัทเท่านั้น ในแง่นี้ ความเป็นมนุษย์ของชาลีจึงถูกลดทอนลงไปให้เหลือเป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งของระบบการทำงาน มิใช่มนุษย์อีกต่อไป ซึ่งเป็นผลมาจากระบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าจะมองเห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีความสามารถ มีความคิดและจิตใจ

           

หัวหน้า : ผู้ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

            นอกจากชาลีผู้เป็นพนักงานในโลกทุนนิยมจะถูกระบบบีบคั้นจนค่อย ๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป นวนิยายยังเสนอให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของตัวละครที่มีสถานะสูงกว่าพนักงานอย่างชาลี นั่นคือ ‘ผู้จัดการ’ และ ‘หัวหน้าฝ่ายงาน’ กล่าวได้ว่าในทางปฏิบัติ ผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายงานเองมีสถานะที่เหนือกว่าชาลี เพราะเป็นผู้ที่คอยควบคุมและออกคำสั่งพนักงานในความดูแล แต่หากพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายงานเองก็เป็นพนักงานคนหนึ่งซึ่ง ‘ทำงานกินเงินเดือน’ อยู่ใต้ร่มทุนนิยมไม่ต่างจากชาลี ดังนั้น พวกเขาจึงได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมด้วยเช่นกัน

            นวนิยายได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ผู้จัดการ’ มีอำนาจเหนือกว่าชาลี จากตอนต้นของเรื่องที่ชาลีพยายามกินยาฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ ทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการปวดหัว เขาโทรไปลาผู้จัดการ แต่อีกฝ่ายตอบมาเพียงว่า “ไม่อยากให้ลาเลย กินยาแล้วนอนพักไปก่อน สักเที่ยง ๆ ค่อยเข้าก็ได้” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.11) การต่อรองของผู้จัดการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงในอาการป่วยของชาลี แต่สนใจเพียงว่าชาลีจะมาทำงานได้หรือไม่ เช่นเดียวกันกับตอนที่ชาลีลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แต่เขากลับพบว่าร่างกายของเขาเจ็บปวดมากจนลุกไม่ขึ้น เขาจึงโทรไปลางานและยืนกรานว่าเขาไม่อาจไปทำงานไหวจริง ๆ แม้ว่าปลายสายจะ “ไม่เต็มใจเท่าไรนัก” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.163) เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้จัดการไม่ได้เป็นห่วงในสวัสดิภาพหรือความเป็นอยู่ของเพื่อนมนุษย์ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานที่จะต้องขับเคลื่อนต่อไปให้ได้

            ไม่เพียงเท่านั้น การขาดไร้ความเห็นอกเห็นใจของผู้เป็นนายยังปรากฏให้เห็นผ่านเหตุการณ์ในวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ชาลีถูกปลุกด้วยโทรศัพท์ซึ่งเป็นสายด่วนจากหัวหน้าผู้ดูแลฝ่ายขาย “จับใจความได้ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นว่าเอกสารฉบับที่ต้องใช้งานในเช้าตรู่วันที่สิบหกมีรายละเอียดบางประการต้องถูกปรับแก้ภายในช่วงวันหยุดนี้ ชาลีเข้าไปดูให้พี่ทีนะ... เรียบง่าย น้ำเสียงมั่นคง ชัดเจน ปราศจากความสั่นไหวและเก้อเขินของการเป็นโทรศัพท์ในวันหยุดยาว” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.203) แสดงให้เห็นว่า ‘หัวหน้าฝ่ายขาย’ ไม่ได้เห็นอกเห็นใจชาลี ไม่สนใจว่าการสั่งงานของตนจะกระทบต่อวันหยุดยาวและการพักผ่อนที่พนักงานคนหนึ่งพึงมีหรือไม่ เขาสนใจแค่ว่าชาลีต้องเข้าไปทำงานให้เสร็จลุล่วงเท่านั้น ในจุดนี้ ผู้เขียนได้วิพากษ์การกระทำของหัวหน้างานภายใต้ระบบการทำงานแบบทุนนิยมผ่านคำพูดของ ‘อังเดร’ ชายชาวต่างชาติที่บังเอิญเจอกับชาลีในบริษัทไว้ว่า “นี่มันเป็นเทศกาลที่ไม่ควรจะมีใครเข้ามาทำงานไม่ใช่เหรอ พนักงานสมควรจะไปเที่ยว หรือไม่ก็กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว ปาร์ตี้ ทำบาร์บีคิว อะไรอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณชาลีถึงไม่ไปทำอะไรอย่างนั้น ทำไมยังอยู่ให้เขาเรียกเข้ามาทำงานได้” (พิชา รัตนานคร, 2566, น.206)

 

ลูกน้องและหัวหน้า : ทุกคนต่างสูญเสียความเป็นมนุษย์ในโลกทุนนิยม

            จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของชีวิตมนุษย์ในโลกทุนนิยมทั้งสองด้าน ทั้งฝ่ายของ ‘ลูกน้อง’ อย่างชาลีที่ก้มหน้าก้มตาถวายตัวให้กับการทำงาน จนงานเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา เขาเริ่มถูกงานบงการ จนในที่สุดเขาก็เห็นว่าตนเป็นเพียงเครื่องจักรผลิตงาน และไม่ได้ตระหนักว่าตนเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ซึ่งถือเป็นการสูญเสียความเป็นมนุษย์ในแง่หนึ่ง ส่วนทางด้านของ ‘หัวหน้า’ อย่างผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายขายเองก็ถูกระบบทุนนิยมกดทับ เพราะพวกเขามุ่งหวังแต่ปริมาณของงาน ทำให้พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงคุณภาพชีวิตหรือสวัสดิภาพของลูกน้อง ซึ่งถือเป็นการขาดไร้ซึ่งความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม การขาดไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจของหัวหน้าในแง่นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุปัจจัย แต่เป็นเพราะพวกเขาเองก็เป็นลูกจ้างคนหนึ่ง และเป็นเหยื่อในระบบทุนนิยมด้วยเช่นกัน

            จะเห็นได้ว่า นวนิยายเรื่อง ‘แชมเปญจ์น ซูเปอร์โนวา และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี’ ได้วิพากษ์ระบบทุนนิยมผ่านตัวละครในเรื่อง โดยที่ทุกตัวละคร ทุกฝ่าย ทุกตำแหน่งหน้าที่ ได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ในแง่ต่าง ๆ ไป จากการถูกกดทับอยู่ในร่มใหญ่ที่มีชื่อว่าทุนนิยมเฉกเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เขียนได้แฝงประเด็นนี้ให้ผู้อ่านขบคิดผ่านฉากสุดท้ายของเรื่อง ที่ชาลีตามไปพบกับชาลีอีกคน เมื่อเสียงปืนดังขึ้น ชาลีก็เหลือคนเดียว จากฉากนี้ผู้อ่านไม่อาจทราบได้ว่า ชาลีคนไหนคือคนที่ตายไป—ชาลีที่ตายอาจเป็นชาลีผู้เป็นนักเขียนอันเป็นตัวตนที่เขาตามหาและพึงปรารถนามาตลอด หรืออาจเป็นชาลีผู้เป็นพนักงานบริษัทที่ติดอยู่ในโลกแห่งทุนนิยม ไม่มีใครสามารถตอบได้ มีเพียงแต่คำถามที่ล่องลอยมาพร้อมกับเสียงปืนในนัดสุดท้ายของการฆ่าตัวตายที่ว่า ท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนจะสามารถหลีกเร้นออกจากร่มเงาของทุนนิยมที่ทำให้ความเป็นมนุษย์สูญสิ้นลงได้หรือไม่ เท่านั้นเอง

 

บรรณานุกรม

พิชา รัตนานคร. (2566). แชมเปญจ์น ซูเปอร์โนวา และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี. จงสว่าง

เสาวณิต จุลวงศ์ (2561). ทุนนิยมวิพากษ์ในวรรณกรรมไทย: รายงานวิจัย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะศิลปศาสตร์.

 

Visitors: 102,257