พรธาดา สุวัธนวนิช
พรธาดา สุวัธนวนิช
เราต่างอยู่ใน “ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว)”
ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว) เป็นนวนิยายของ ศรีฟ้า ลดาวัลย์ ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเป็นตอน ๆ ลงในนิตยสารสกุลไทยตั้งแต่พ.ศ. 2541 - 2544 รวมเล่มเป็นครั้งแรกในพ.ศ. 2545 และในปีเดียวกันนั้นเอง นวนิยายเรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทนวนิยายในการประกวดรางวัลเซเว่นบุ๊คครั้งที่ 2
อัปสรเป็นตัวละครหลักที่ผู้ประพันธ์ใช้ดำเนินเรื่องนี้ นำเสนอเรื่องเล่าแบบย้อนหลัง (flash back) เริ่มเรื่องที่ฉากบ้านสวนรังสิตของคุณย่าอัปสรและคุณปู่พฤกษ์ ครอบครัวนี้กำลังจะสูญเสียซุ้ย –หลานซึ่งถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับปู่และย่าให้แก่แจ่มจิต อดีตลูกสะใภ้ม่ายที่แต่งงานใหม่และมาขอรับตัวบุตรชายไปอยู่ด้วย ทำให้อัปสรย้อนคิดถึงอดีตแต่หนหลังที่อัปสรไม่เคยมีครอบครัวมาก่อนเลย
อัปสรจัดว่าเป็นชาววังรุ่นสุดท้ายของวังสวนสุนันทา ในสมัยที่วังยังเป็นโรงเรียนชั้นสูงที่อบรมกุลสตรีผู้ถูกส่งไปถวายตัวเพื่อเป็นบาทบริจาริกาในวังหลวงหรือวังของเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรืออาจอาศัยความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเจ้านายที่ประทับในวัง สำหรับอัปสรแล้วเป็นอย่างหลัง เพราะคุณยายหรือ ม.ร.ว.หญิง พวงแก้วที่เลี้ยงดูอัปสรนั้นหมดที่พึ่งเมื่อสิ้นคุณตา คุณยายอยู่ในฐานะภรรยารองที่เลี้ยงอัปสรหลังจากลูกสาวคนเดียวคือคุณอรถึงแก่กรรม ชาติกำเนิดของอัปสรนั้นเป็นที่รู้กันในยุคนั้นว่าเป็นถึงพระธิดาเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง แต่เพราะพระองค์ท่านไม่ทรงยกขึ้นเป็นพระชายาหลังหม่อมเอกสิ้น มารดาของเธอน้อยใจจึงหอบเอาลูกติดท้องกลับมาอยู่กับบิดามารดาของตนตามเดิม แล้วถึงแก่กรรมตั้งแต่อัปสรยังเล็ก อัปสรจึงอยู่ในฐานะที่คุณยายจะต้องวางในตำแหน่งที่เหมาะสม เมื่อสิ้นบุญคุณตา คุณยายไปถือศีลอยู่ที่วัด จึงถวายอัปสรให้เป็นข้าของท่านพุดซ้อนซึ่งมีศักดิ์เป็นพระญาติของคุณยาย มีตำหนักอยู่ในวังสุนันทา เด็กผู้หญิงในวัยแปดขวบคนหนึ่งจึงได้เติบโตมาในวังร่วมกับผู้หญิงที่เป็นนางข้าหลวงและบริวารในตำหนักเดียวกัน ในบรรดานางข้าหลวงเดียวกันอัปสรสนิทสนมกับสามพี่น้องคือ สงบ ไสว และ สวาท รวมไปถึง ปุก บ่าวของสามสาวพี่น้องนั้น
ชีวิตของสาวชาววังทั้งห้าต้องระหกระเหินเมื่อท่านพุดซ้อนถึงชีพิตักษัยในวันเดียวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร วังจึงไม่ใช่ที่ที่จะหวนกลับไปพักพิงได้อีกต่อไป สามสาวพี่น้องปรึกษากันว่าจะไปอยู่ในสวนซึ่งเป็นมรดกที่ท่านองค์นวลเคยประทานให้ อัปสรจึงขอติดตามไปด้วย เพราะจะกลับไปอาศัยอยู่กับญาติข้างมารดาก็ดูจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีสักเท่าไร แม้อัปสรจะเข้มแข็งเพียงใดคำพูดที่สะท้อนความว้าเหว่ของหญิงสาวชัดเจน
“ตั้งแต่แต่ฉันเข้าไปอยู่กับท่านพุด ฉันก็นึกอยู่ตลอดว่าฉันกับพี่ไหว น้าหงบ พี่หวาด และก็ปุกด้วย...” หันไปมองหน้าปุกผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างประตูแวบหนึ่ง
“เป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งกว่าญาติ ยิ่งกว่าพี่น้อง คนอื่น ๆ นอกจากคุณยาย ถึงจะเป็นญาติแท้ ๆ ก็เหมือนไม่ใช่ญาติ จริง ๆ นะคะ” (น.219)
ครอบครัวอันประกอบด้วยผู้หญิงล้วนห้าชีวิตมาปลูกแพอยู่ที่สวนบางกรวย มีความสุขตามอัตภาพ แต่ก็ต้องเผชิญกับความผันผวนในชะตาชีวิตของแต่ละคน ปุกอุ้มลูกติดท้องออกจากบ้านที่ “ขอยืม” ปุกไปเป็นต้นห้องชั่วคราว ไสวมีพระยาฤทัยราชภักดีมาชอบพอแต่ก็ต้องคลาดแคล้วกันไป ไม่ได้สมรสกัน ในที่สุดอัปสรก็ได้ออกเรือนไปกับคุณพฤกษ์ที่เป็นพ่อม่ายหย่าร้างกับภรรยา ปุกกับวนเวียน-ลูกสาวที่ปุกถือทิฐิและปล่อยให้เป็นลูกไม่มีพ่ออยู่เช่นนั้นติดตามไปรับใช้และช่วยดูแลเลี้ยงดูลูก ๆ ของอัปสรและพฤกษ์ทั้งห้าคนจนเติบใหญ่ เพราะปมลึก ๆ ในใจที่อัปสรขาดความอบอุ่นจากครอบครัวที่เป็นญาติพี่น้องของตน อัปสรจึงมีความฝันที่จะมีครอบครัวใหญ่ขยายออกไปเรื่อยๆ แต่เมื่อลูก ๆ ของเธอแต่งงานก็พากันแยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่น ซุ้ยจึงเหมือนสายใยสุดท้ายของครอบครัวที่ในที่สุดก็ต้องจากไป ในวัยชรา อัปสรก็มีบารมีที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือยามลูกหลานมีปัญหา ในที่สุด แม้จะได้ซุ้ยกลับคืนมา อัปสรก็เสียคุณพฤกษ์ที่จากไปเพราะหมดอายุขัย “ครอบครัว” ที่พฤกษ์ในวัยชราบอกกับอัปสรว่า” ถึงยังไงคุณก็ยังมีฉัน” (น.98) ก็กลายเป็นเหลืออัปสรเพียงคนเดียวกับบริวารเพียงแค่สองคน
ลูก ๆ จะตกลงกันว่าอัปสรน่าจะไปอยู่กับครอบครัวของลูกคนใดคนหนึ่ง อัปสรยืนยันที่จะไม่ไปอยู่กับลูกคนไหนทั้งสิ้น ไสว และสวาทในวัยชราจึงคิดจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนอัปสร เป็นเหมือนครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว)กันอีกครั้ง
แง่มุมที่ชวนในขบคิดของนวนิยายเรื่องที่นำเสนอชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงหัวเลี้ยวของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศ ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว)นี้ คือประเด็นตามชื่อเรื่อง ซึ่งอาจจะหมายถึงครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของสังคม อันเป็นครอบครัวในจินตนาการของอัปสร ที่ฝันว่าจะมีครอบครัวเช่นนั้นจริงๆ สักที แต่ระยะเวลาที่เป็น “ครอบครัว”ตามที่อัปสรฝันนั้นช่างแสนสั้น “ครอบครัว” ที่อัปสรเข้าใจในที่สุดคือ “ครอบบ้านครัวเดียว” ตามที่ไสว และ สวาทในวัยชรา เอ่ยปากว่าจะกลับมาอยู่กับอัปสร “เรามันคนครอบบ้านครัวเดียวกัน” (น.717) และสวาทขยายความว่า
“อย่างคนหลายๆ คนกินกงสีก็เท่ากับว่าครัวเดียวกินกันทั้งบ้านใหญ่ ๆ ไงล่ะจ๊ะพี่ไหว รึอย่างบ้านคุณหนู อย่างในวังเจ้านาย มีเรือนหลาย ๆ หลัง ผู้คนเยอะแยะ แต่ไม่ต้องซื้อหามากิน ถึงเวลาก็ไปแบกไปหิ้วเอามาทำมาหากิน ไม่เรียกว่าครัวเดียวครอบไปทั้งบ้านหรอกรึ” (น.717)
ครอบครัวในความหมายหลังย่อมเป็นภาพแทนของประเทศชาติได้ ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า “ผู้หญิง” มีนัยประหวัดไปถึง “แม่” และ “แผ่นดิน” ซึ่งหมายถึงมาตุภูมิหรือแผ่นดินแม่นั่นเอง ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้หญิงชาววังทั้งห้าคนที่ต้องมาใช้ชีวิตกันตามลำพังเป็นครั้งแรก นั่นคือความว้าเหว่ไร้ที่พึ่งของผู้คนยามเกิดการเปลี่ยนระบอบการปกครองครั้งใหญ่ในประเทศ ย่อมมีผลต่อวิถีชีวิตแบบที่คนไทยคุ้นชิน แต่ด้วยความรักสงบของสาวชาววังเหล่านี้ ชีวิตก็ดำเนินต่อไป แต่ชีวิตผันแปรไปก็ล้วนด้วย “ผู้ชาย” ทั้งสิ้น
ผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผู้หญิงล้วนทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราเห็นได้ว่าตั้งแต่ชาติกำเนิดที่คลุมเครือของอัปสรทำให้เธอต้องเป็น “เจ้านอกบัญชี” ให้คนซุบซิบนินทาไปตลอดชีวิต เพราะบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ใส่ใจ และเพราะลุงแท้ ๆ ก็ไม่ไยดีเท่าที่ควร พระยาฤทัยราชภักดีผู้เป็นม่ายที่มาติดพันไสว แม้ในเบื้องต้นจะเป็นที่พึ่งพอให้สาวทั้งห้าคนได้อุ่นใจ แต่เมื่อรู้ว่าหลังภริยาท่านถึงแก่กรรมท่านเคยมีเมียบ่าว และมีลูกด้วยกัน ไสวก็ยากจะทำใจยอมรับ และยิ่งได้ข่าวความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระยาฤทัยราชภักดีกับคุณน้อย ญาติผู้พี่ของอัปสรซึ่งเป็นลูกเจ้าพระยา ทำให้ไสวยิ่งถอยห่างเพราะเจียมตัวในชาติตระกูลที่ด้อยกว่า และไม่มีโอกาสหวนกลับไปหาพระยาฤทัยฯ อีกเมื่อความตายมาพรากให้จากกัน ไสวจึงไปถือศีลที่วัด ส่วนปุก บ่าวของสามสาวพี่น้องที่ถูกขอยืมตัวไปเป็นต้นห้องให้ท่านจ้อย ก็ถูกคุณจำรูญสามีของท่านจ้อยเข้าหา จนต้องหอบลูกติดท้องกลับมาอยู่ที่เรือนแพตามเดิม
กว่าชีวิตอัปสรจะสมหวังเรื่องการสร้างครอบครัวก็มีอุปสรรคเกือบจะต้องคลาดแคล้วกับพฤกษ์ หลักจากที่พฤกษ์เห็นนิสัยที่แท้จริงของแววผู้เป็นภรรยา ก็ยิ่งนึกเปรียบเทียบกับอัปสรซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด และวางตัวได้อย่างเหมาะสมน่าชื่นชม การหย่าขาดกับแววไม่ได้เป็นเรื่องง่าย และต้องกระทบถึงอัปสร แต่ในที่สุด ชีวิตของอัปสรก็ได้ลงหลักปักฐาน มีครอบครัว เธอคิดสร้างบ้านที่รังสิตเพื่อรองรับครอบครัวขยายตามจำนวนสมาชิกโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของพฤกษ์ซึ่งอยากอยู่อาศัยในเมืองมากกว่า ด้วยความมุ่งมั่นของอัปสร บ้านสวนก็กลายเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ในที่สุดลูกๆ ก็เลือกที่จะไปสร้างครอบครัวของตัวเอง
ดังได้กล่าวไปแล้วในมิติแรกของ “ความเป็นหญิง” นวนิยายเรื่องนี้แสดงผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจาก “ความเป็นชาย” ความเป็นหญิงในเรื่องนี้เป็นฝ่ายรองรับการกระทำของความเป็นชาย ทั้งในเรื่องความเป็นรองในเรื่องเพศสถานะ การดำรงสถานภาพในเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับชายผู้เป็นบิดาและสามี ดังชีวิตของอัปสร หรือสามีเพียงอย่างเดียวดังชีวิตของมารดาและยายของอัปสร ตลอดจนไสวซึ่งยังคงไว้ซึ่งสถานภาพเดิม เมื่อตัดสินใจปฏิเสธการสู่ขอของพระยาฤทัยราชภักดี ในมิติของ “ความเป็นหญิง”ที่หมายถึงแผ่นดินแม่ ย่อมรองรับการกระทำของ “ความเป็นชาย” คือผู้นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศชาติ ความเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่อองคาพยพหลายส่วนของความเป็นประเทศชาติ บ้านเมืองต้องหวั่นไหวซวดเซไปบ้าง แต่ด้วยการประคับประคองช่วยเหลือกันในยามหัวเลี้ยวแห่งจุดเปลี่ยน สถานะของความเป็นครอบครัวจึงยังคงอยู่ได้ เช่นเดียวกับหญิงสาวทั้งห้านั่นเอง แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบที่ถูกความเป็นชาย “ครอบ”อยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้เขียนจงใจเล่นคำว่าครอบครัวเดียว โดยใส่นขลิขิตคร่อมเป็น “ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว)” นอกจากสะท้อนถึง”ความเป็นชาย” ที่ครอบความเป็นหญิงดังที่กล่าวไปแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้เขียนที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของคนในชาติที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน หมายถึง การเทียบเคียงสถาบันการเมืองกับสถาบันครอบครัว เจตนาของอัปสรในฐานะแม่ที่ต้องการให้ลูกอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต่างอะไรกับประเทศชาติที่ต้องการพลังแห่งความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ความคิดเช่นนั้นกับ “พ้นสมัย”ในสายตาของคนรุ่นใหม่ การที่ลูก ๆ ของอัปสรเลือกที่ไปสร้างครอบครัวเอง เพราะคิดต่างในเรื่องของความเป็นอิสระก็ดี หรือให้ความสำคัญกับครอบครัวย่อย ๆ มากกว่าครอบครัวใหญ่ แต่เมื่ออัปสรต้องไปช่วยผ่อนหนักผ่อนเบาเมื่อลิลลี่หลานของตนที่พาบอมบ์ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงศรีวรัดดามาหลบอยู่ที่บ้านสวนรังสิต อัปสรสามารถปรามพ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นทั้งคู่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรง ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุด “ความเป็นแม่” ในความเป็นหญิงก็สามารถจัดการให้แก่ปัญหาของครอบครัวเล็กๆ เหล่านั้น เมื่อทุกคนเห็นความหวังดีของ “แม่” หรือกล่าวในนัยสัญญะของความเป็นประเทศชาติบ้านเมือง ความขัดแย้งย่อมไม่ลุกลาม นี่คือครอบครัวที่อัปสรอยากให้เป็น หรือนี่คือ ประเทศชาติที่ “สีฟ้า”อยากให้เห็น หลังจากผู้เขียนก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่ต่างจากอัปสรเช่นกัน
นอกจากนั้นคำว่า “ครัว”ก็ยังมีความหมายที่ชวนให้คิดมิใช่น้อย “ครัว”เป็นอาณาจักรของผู้หญิงก็ว่าได้ ครัวจึงเป็นพื้นที่ความเป็นหญิงที่ผู้เขียนต้องการจะโต้กลับกับวาทกรรมความเป็นชายที่แม่จะ “ครอบ”อยู่ แต่หากปราศจากเสียซึ่ง “ครัว” บ้านก็ไม่เป็นบ้าน ประเทศก็ไม่เป็นประเทศ อาหารเลี้ยงชีวิตของคนในบ้าน คนในประเทศ ผู้หญิงซึ่งเป็นครัวของบ้าน จะต้องบริหาร “ครัวเดียว” ให้อยู่ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับบ้าน กับประเทศ ครัวก็ยังหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คน ครัวที่อยู่ในอำนาจของผู้หญิง ดังนั้นจากคำกล่าวสรุปของสวาทที่ว่า “เรามันคนครอบบ้านครัวเดียวกันอยู่แล้วนี่” (น.717) สวาทเปรียบเทียบกับการกลับมาอยู่รวมกันอีกครั้งเหมือนสมัยอดีตกาลครั้งยังอยู่ในวังสวนสุนันทา ซึ่งสะท้อนทัศนะของผู้เขียนว่าความเป็นหญิง คือแผ่นดินแม่ที่ยังคงอยู่เสมอไม่ว่าโลกจะผันแปรไปอย่างไร การเมืองจะแปรเปลี่ยนไปด้วยน้ำมือของใครต่อใคร แผ่นดินแม่ก็ยังเป็นที่พักพิงอยู่เสมอ พื้นที่นั้นถูกขับเน้นโดยใช้สัญญะ “ครัว” คือที่พึ่งพิงปากท้องของคนในอาณาบริเวณที่แสดงถึงความเป็นหญิง หรือแผ่นดินแม่นั้นเอง
หากแต่ความคิดเช่นนั้น คนในรุ่นลูกของอัปสรไม่อาจเข้าใจได้ ทุกคนคิดอยู่ว่าภายหลังจากที่พฤกษ์ถึงแก่กรรม อัปสรจะอยู่ตามลำพังคนเดียวได้อย่างไร นั่นก็เพราะลูก ๆ ของอัปสรต่างก็มีแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ที่แต่ละครอบครัวมีความเป็นปัจเจกมากกว่าจะยึดโยงกันเป็นครอบครัวใหญ่ ลูก ๆ จะพอใจมากกว่าถ้าอัปสรจะเลือกอยู่กับลูกคนใดคนหนึ่ง หากผู้เขียนให้อัปสรเลือกเช่นนั้นเท่ากับยอมรับโดยปริยายว่าแนวคิดเดิมของการให้ความสำคัญแก่ถิ่นฐานบ้านเรือนที่มีศูนย์รวมคือแผ่นดินแม่จะต้องปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย แนวคิดหลักของเรื่องก็จะขาดความน่าสนใจสิ้นเชิง เพราะผู้เขียนให้ความสำคัญแก่ “ความเป็นหญิง”และแผ่นดินแม่มาตลอดทั้งเรื่อง ความดื้อดึงของอัปสรและการสนับสนุนให้เธอยืนหยัดในจุดยืนอันมั่นคงจากบรรดาคนเก่าแก่ด้วยกันที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ สวาทและสงบ ที่จะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับอัปสรต่อไป ยืนยันความรักและหวงแหน “อาณาบริเวณ” ที่ผนึกแน่นกับ “ความเป็นหญิง” ที่ไม่มีสิ่งใดมาพราก นอกจากความตายเท่านั้น
ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว) เขียนโดย ศรีฟ้า ลดาวัลย์
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก พ.ศ. 2545