ล้านนาฮาเร็ม : ความบันเทิงที่ไม่สุดทาง
ล้านนาฮาเร็ม : ความบันเทิงที่ไม่สุดทาง
ไพลิน รุ้งรัตน์
การเขียนนวนิยายประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องง่ายและยากไปพร้อมกัน ที่ว่าง่ายเพราะนวนิยายประวัติศาสตร์มีโครงเรื่องสมบูรณ์อยู่แล้วตามโครงข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าผู้เขียนเลือกเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์มากเพียงไร เรื่องนั้นก็จะถูกโครงสร้างของประวัติศาสตร์กำกับอย่างชัดเจน กรณีนี้จึงง่ายเพราะนักเขียนไม่ต้องคิดโครงเรื่องเองเลย แต่ที่ว่ายากก็คือ การถูกบังคับด้วยโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ จึงทำให้นักเขียนมีโอกาสสร้าง “สีสัน” ได้น้อย โอกาสที่จะจินตนาการไปให้สุดทางอย่างนวนิยายที่สร้างโครงเรื่องเองจึงมีน้อย ยิ่งใช้ประวัติศาสตร์มากเท่าไร โอกาสก็จะยิ่งน้อยลงอย่างเป็นสัดส่วนกัน ในขณะเดียวกันการเลือกเอาประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่งมาเขียน นักเขียนก็ต้องระมัดระวังในการจินตนาการให้จงหนัก เพราะหากจินตนาการมากไป หรือเอาตามที่คิดว่าควรจะเป็นไปก็อาจจะผิดจากข้อเท็จจริงที่ถูกบันทึกไว้ก็อาจจะเกิดปัญหาอีกมากมาย รวมทั้งกรณีฟ้องร้องด้วย ดังนั้น การเลือกสร้างนวนิยายจากประวัติศาสตร์ โอกาสที่จะทำให้ “สนุก” และมี “สีสัน” ให้ได้มาก ก็คือ การเลือกประวัติศาสตร์ช่วงที่จะเป็นนวนิยาย โดยต้องเป็นตอนที่มี “ช่องว่าง”มากพอที่จะจินตนาการได้ด้วย
ล้านนาฮาเร็ม ของ สาคร พูลสุข เป็นเรื่องของบุคคลในยุคนักล่าอาณานิคมที่มาในรูปแบบของการเผยแพร่ศาสนาและการค้า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ผู้เขียนเลือกเรื่องราวของนายแพทย์มารีออน อัลฟองโซ ชีค ซึ่งเข้ามาเมืองไทยตามเพื่อนที่เป็นมิชชันนารี แรก ๆ มาอยู่ในเมืองไทยในฐานะหมอรักษาคน (อุทิศตนตามหลักศาสนา) แต่ต่อมาเกิดโลภ หันมาประกอบอาชีพค้าไม้สัก เมียจึงพาลูกหนีไปอเมริกา เมื่อร่ำรวยก็มักมากในกามและนำไปสู่การสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ แบบฮาเร็มให้ผู้หญิงอยู่เพื่อบริการตัวเขาได้ถึง ๒๐ หลัง วาระสุดท้าย เขาป่วยหนักและตายบนเรือระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิด
หมดโอกาสขยี้กิเลส
มนุษย์ไม่ว่ายุคใดสมัยใดข้ามกิเลสตนเองไม่พ้น สาคร พูลสุข นำเสนอภาพของหมอชีคในฐานะคนหนุ่มที่พลัดบ้านพลัดเมืองได้อย่างงดงามพอสมควร ชีคคือภาพของคนหนุ่มที่ยอมร่วมคณะมิชชันนารี ตามหมอคือ แดเนียล แมคกิลวารี ผู้ศรัทธาในศาสนาอย่างแข็งขันมาสยาม และได้มาพบกับซาราห์ น้องสาวของโซเฟีย ภรรยาของหมอแดเนียล (ทั้งสองสาวเป็นลูกสาวของหมอบรัดเลย์) เขาชอบซาราห์และขอแต่งงานกับซาราห์ ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าหมอชีคอยากเห็นสีสันโรแมนติกจากภรรยาแต่ไม่พบ และค่อย ๆ ปูพื้นความชอบในเซ็กส์ของหมอชีคขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะเป็นลำดับไปเพื่อจะนำไปสู่การมีฮาเร็มในท้ายสุด แต่ด้วยความที่เป็นคนที่มีตัวตน มีเรื่องราวบังคับอยู่ จึงเห็นได้ว่าผู้เขียนขยักความอยากบรรยาย “กิเลส” ของหมอชีคไว้โดยตลอดเรื่อง เรียกว่า สามารถบรรยายได้เฉพาะภาพแต่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ภายในไม่ว่าโดยกลวิธีใดได้มากนัก ข้อนี้ก็เพราะความเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ และอาจเป็นเพราะนักเขียนและนักอ่านไทยยังไม่คุ้นชินกับการเขียนนวนิยายประวัติศาสตร์แบบเสรีด้วยนั่นเอง
นอกจาก “กิเลส” ในเรื่องเพศแล้ว สาครยังเสนอ “กิเลส” อีกตัวหนึ่งของหมอชีค นั่นคือ ความอยากรวย หรือความโลภรวย ด้วยเหตุที่เขาเป็นคนฉลาด ทำให้มองเห็นลู่ทางการค้าไม้สัก และยังเป็นคนมองทะลุเรื่องการจัดการ การมีเครือข่ายธุรกิจ กล้าได้กล้าเสีย ซ้ำยังสนิทกับเจ้าวรรณาซึ่งเป็นคนมีอิทธิพลและมีความเก่งไม่แพ้กัน ทำให้ทำเงินได้ง่าย ได้เร็ว จนเปลี่ยนสถานะเป็นนักธุรกิจค้าไม้สักอย่างเต็มภาคภูมิ ข้อนี้ ผู้เขียนก็สามารถแสดงศักยภาพของหมอชีคได้ในระดับหนึ่ง โดยอาศัยข้อมูลที่บันทึกไว้ของบริษัทบริติช บอร์เนียวที่ว่า
“มารีออน อัลฟองโซ ชีค เป็นชายหนุ่มแข็งแรง อดทน หน้าดำคร่ำเครียด แต่บางเวลากลับปล่อยตัวตามสบายราวกับไม่มีอะไรจะทำ เขาสามารถรักษาคนไข้ได้นับหมื่นรายต่อปี บางครั้งคล้ายคนหน้าเลือด ไม่มีน้ำใจ แต่บางคราก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนที่ไม่ควรช่วยเหลือ นอกจากนั้น ยังมีแนวโน้มจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ที่สำคัญ ไม่อาจทนต่อแรงเย้ายวนของกิเลสตัณหาตามธรรมชาติของปุถุชน”
ตัวละครอีกตัวหนึ่งคือ เจ้าวรรณา ซึ่งเป็นตัวละครฝ่ายไทย เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้การดำเนินชีวิตของหมอชีคประสบความสำเร็จ และเรื่องที่เป็นนวนิยายก็มีสีสัน ความโดดเด่นของเจ้าวรรณาปรากฏชัด ความเป็นเพื่อนกับหมอชีคก็ปรากฏชัดอย่างน่าสนใจ ผู้ชายที่สนใจเรื่องเซ็กส์เป็นชีวิตจิตใจกับผู้หญิงที่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อเจอกันกลับเป็นเพื่อนกันได้ แม้ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ข้ามเส้น แต่สาครก็อธิบายไว้ชัดเจนดีแต่ลึกลงไป ก็สามารถสัมผัสได้ว่าผู้เขียนถูกกำกับโดยหลักฐานข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏ
เรียกได้ว่า ทั้งสองตัวนักเขียนหมดโอกาสขยี้กิเลส
สำคัญที่การเลือกตัวละคร
ในกรณีที่นวนิยายประวัติศาสตร์มีสีสันหรือความแปลกใหม่เกิดขึ้น จึงมักเกิดเพราะตัวละครที่อยู่ในประวัติศาสตร์ แต่นอกการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งผู้เขียนจะจินตนาการเช่นใดก็ได้ เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดวนเข้ามาเป็นเส้นเดียวกับข้อเท็จจริงที่จารึกไว้ หรือหากไม่ได้จารึกไว้ก็เพราะเหตุใด ซึ่งผู้อยู่นอกหลักฐานนี่จะเป็นตัวสร้างเสน่ห์ สร้างสรรค์สิ่งที่ไม่คาดฝัน และเป็นตัวชูรสแทนคนในประวัติศาสตร์ทั้งหมด และคนในประวัติศาสตร์ก็ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเลย จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เราจะตื่นเต้นกับงานแบบทวิภพ ของทมยันตี หรือบุพเพสันนิวาส ของรอมแพง ที่มีตัวละครข้ามยุคไปพยายามช่วยคนในประวัติศาสตร์แต่ก็ไม่อาจแก้ประวัติศาสตร์ได้ ล้านนาฮาเร็ม ของสาคร พูลสุข ก็เช่นกัน ถ้าหากมีตัวละครลับ ๆ เล็ก ๆ แต่สำคัญในเรื่องสักตัวที่วิ่งพล่านไปมาในเรื่องอาจช่วยผู้เขียนได้มากทีเดียว
สำคัญที่การเลือกประเด็น
สิ่งที่ผู้อ่านคาดหวังจากนวนิยายประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัย คือเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันส่งผลให้เป็นบ้านเมืองในปัจจุบัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของยุคสมัยนักล่าอาณานิคมของโลกตะวันตก คือพฤติกรรมหรือสิ่งที่เกิดขึ้น หรือในล้านนาฮาเร็มเล่มนี้ก็คือ “ความเป็นล้านนาในระยะเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ ท่ามกลางการก่อเกิดรัฐชาติสมัยใหม่ในห้วงเวลาของอาณานิคม ทั้งอาณานิคมภายนอกและอาณานิคมภายใน” บันทึกสำนักพิมพ์) ซึ่งผู้เขียนเลือกเอาชีวิตของนายแพทย์มารีออน อัลฟองโซ ชีค เป็นตัวหลักในการเล่าเรื่อง ซึ่งได้แต่บรรยากาศของบุคคล แม้จะพยายามดึงเจ้าวรรณามาช่วย แต่ก็กลายเป็นตัวบุคคลทำนองเดียวกัน เส้นเรื่องสำคัญที่เป็นประเด็นของการพยายามต่อสู้กับรัฐส่วนกลาง และการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมที่ขยับขยายมาจากประเทศเพื่อนบ้านจึงจมไปในเส้นของบุคคลอย่างน่าเสียดาย
การเลือกตัวละครที่มิใช่ตัวที่มีอำนาจ ทำให้การให้รายละเอียดพร่าเลือน การต่อสู้ก็ไม่ชัดเจน ได้แต่ภาพและบรรยากาศ และเรื่องราวส่วนตัวมากกว่า กระนั้น สิ่งที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ยังงดงามอยู่ได้คือ ถ้อยภาษาและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบ้านเมือง และภาษาเมือง เช่น ภาพการทำงานของช้างลากซุงในป่าเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วในวันที่ป่าสักยังอุดมสมบูรณ์
“แล้วเขาก็ได้เห็น ไม่ใช่เพียงแค่ท่อนซุง คนงาน ช้าง ควาย สายน้ำในลำห้วย แต่ได้เห็นภาพที่เคลื่อนไหวอย่างได้น้ำได้เนื้อของคำว่าชีวิต ในลำห้วยคนงานที่ถ่อแพท่อนซุงท่ามกลางสายน้ำเชี่ยว พลาดนิดเดียวหมายถึงความตาย บนฝั่ง ช้างทุ่มเทเรี่ยวแรงลากซุงท่อนโต มองไกล ๆ คล้ายก้อนเนื้อสีเทา ใบหูไหวพะเยิบพะยาบ ก้มหัวต่ำ ออกแรงเดิน ส่วนฝูงควายเทียมเกวียนดูเป็นจุดสีตะกั่ว รอลากเกวียน..”(หน้า ๑๙๔)
หรือบรรยากาศที่คุ้มเจ้าวรรณา ยามหม่นหมอง
“เจ้านางเดินไปทั่วคุ้ม แล้วสงสัยว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน โรงครัวส่งกลิ่นเหม็นเอียน โรงปั่นฝ้ายดูยุ่งเหยิง โรงทอผ้ามีแต่ผ้าผืนเก่า หรือแม้แต่โรงต้มเหล้าก็เต็มไปด้วยกลิ่นส่าเหล้าเหม็นบูด หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อุตส่าห์ลงทุนสร้างมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ความกลัวแล่นเข้าจู่โจมจนตกใจ...”(หน้า ๓๑๔)
แม้ภาษาเมืองจะทำให้การอ่านสะดุดอยู่บ้างในตอนแรก ๆ แต่หลังจากทำความเข้าใจได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหาต่อการรับรู้อีก
งานของสาคร พูลสุขเล่มนี้ แสดงถึงความตั้งใจจริงของเขา การเป็นคนใต้ที่ต้องมาเขียนโดยใช้ภาษาเหนือไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย การประมวลเรื่องและการประกอบสร้างเป็นเรื่องเป็นไปตามลำดับ เพียงแต่ผลงานเล่มนี้ให้ความรู้สึกว่า เป็นสาระนิยาย หรือสารคดีมากกว่าที่จะเป็นนวนิยาย อ่านแล้วได้ความรู้ เข้าใจอดีต เห็นบรรยากาศ เข้าใจคนและยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ทำให้รู้สึกหรือได้คิดหรือตระหนักในเรื่องชาติบ้านเมือง ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ เพราะผู้เขียนตั้งเรื่องไว้ที่ความเป็นบุคคลนั่นเอง มิหนำซ้ำยังตั้งชื่อเหมือนเน้นไปที่ความเป็นฮาเร็มผู้หญิงของหมอชีค ทั้งที่ความจริง ล้านนาก็เป็นฮาเร็มของพวกล่าอาณานิคม แต่ผู้เขียนมิได้โยงไปถึง เท่านั้นเอง
นี่ถ้าหากผู้เขียน ทำให้เห็นความบันเทิงของผู้ล่าอาณานิคม ที่บันเทิงทั้งในส่วนของการเผยแพร่ความศรัทธาในศาสนา การทำให้คนสยามเข้ารีตได้เป็นศรัทธาบันเทิง ในขณะเดียวกันพวกค้าไม้ก็เอาไม้สักของภูมิภาคนี้ไปบันเทิงชีวิตกันอย่างเมามัน ผสมผสานเข้ากับบันเทิงทางเพศของหมอชีค เชียงใหม่ที่เป็นศูนย์กลางล้านนาก็จะเป็นฮาเร็มของพวกนักล่าแน่นอน แล้ว “ล้านนาฮาเร็ม” ก็จะสร้างความเจ็บปวดแก่เราสาหัสนัก
--------------------
สาคร พูลสุข. 2567. ล้านนาฮาเร็ม. ผจญภัยสำนักพิมพ์