202505VIP02

คนละฝั่งของแม่น้ำ: ทุนนิยมดูซอฟต์เมื่อเป็นสีพาสเทล
โลกไร้ความเลวใต้ร่มกาสาวพัสตร์

 วิโรจน์ สุทธิสีมา

 

 

          สุนทรียะแรกหลังได้อ่าน คนละฝั่งของแม่น้ำ นวนิยายเปิดลิ้นชักความทรงจำเมื่อครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณรของ ธารา ศรีอนุรักษ์ คือความง่ายและความงามทั้งภาษาถ้อยคำ ถักทอร้อยเรื่องอย่างประณีตพิถีพิถัน และแต่งแต้มจินตนาการอย่างพอเหมาะ จนทำให้การเดินทางไปเรียนบาลีของเณรน้อยจากต่างจังหวัดสร้างความเพลิดเพลินในระดับอ่านรวดเดียวจบ ทั้งนี้สิ่งที่ผู้วิจารณ์สนใจเป็นพิเศษคือการดำรงสถานะของวรรณกรรมเยาวชน อันส่งผลต่อวิธีการสอดแทรกประเด็นขึงขังเข้มข้นเข้าไปอย่างละมุนละม่อม ส่วนนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสุนทรียะในเชิงกลวิธีการนำเสนอที่ไม่อาจมองข้าม

หากสร้างพิกัดโดยคร่าว วรรณกรรมเยาวชนมีหมุดหมายอยู่ที่การสื่อสารกับกลุ่มผู้อ่านซึ่งคาดว่าจะยังอยู่ในช่วงวัยของเยาวชน มักจะมีเด็กหรือวัยรุ่นเป็นตัวละครหลักเพื่อง่ายต่อจินตภาพของผู้อ่าน ส่วนเรื่องราวก็มักจะวนเวียนอยู่กับชีวิตและความสนใจที่สอดคล้องกับอายุอานาม โดยจุดเน้นเด่นชัดและกลายเป็นกรอบคิดทั้งหมดของบทวิจารณ์นี้คือ เรื่องราวจะถูกเล่าผ่านมุมมองของผู้เยาว์วัย ด้วยความเข้าใจในโลกที่ยังมีอยู่อย่างจำกัด และหากจะมีการถ่ายทอดสาระลึกซึ้งซับซ้อน ก็ย่อมจะถูกซุกซ่อนหรือแฝงเป็นนัยให้ตีความค้นหา หาใช่ส่งตรงจากความเข้าใจโลกอย่างกระจ่างแจ้งเยี่ยงคนอายุนับร้อยปี

เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะให้วรรณกรรมเยาวชนไม่ผันแปรกลายเป็นวรรณกรรมสำหรับผู้ใหญ่ ผู้เขียนต้องกลบเกลื่อนบางสิ่งซึ่งสุ่มเสี่ยงว่าจะก้าวล้นพ้นวัยที่กำหนด ทำให้เมื่ออ่านด้วยแว่นของเยาวชนจะพบเรื่องราว “ตามท้องเรื่อง” ระดับพื้นผิวที่ไม่แก่แดดกร้านโลก อาจชวนให้ครุ่นคิดสงสัยบ้างแต่พองาม ทว่าเมื่อพินิจด้วยสายตาแบบวรรณกรรมเชิงวิพากษ์ของผู้ใหญ่ ก็พลันเห็น “บริบทห้อมล้อม” ชวนให้ขบคิดตีความอย่างจริงจัง เสมือนเมฆหมอกขมุกขมัวซึ่งลอยล่องอึมครึมอยู่ไม่ไกลนัก และอนุมานได้ว่าตรงนั้นมีความมืดร้ายเข้าปกคลุม

 

เมื่อสามเณรบ้านนอกเข้ากรุง

เมืองไทยในปี พ.ศ.2535 ตามท้องเรื่อง ถูกเล่าผ่านสายตาของสามเณรผู้มองโลกในแง่ดี แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งจะมีฝุ่นละอองอันชวนให้ระคายเคืองทัศนวิสัยอยู่เนือง ๆ ก็ตาม ผู้อ่านจะพบว่านัยยะของชื่อเรื่องคือการหมายถึงสองฟากฝั่งได้หลายมิติ ทั้งการก้าวจาก “โลกใบเก่า” (ชนบทในภาคใต้) มาสู่ “โลกใบใหม่” (กรุงเทพมหานคร) ภาพเปรียบต่างระหว่างสองสังคม (เมือง กับ ชนบท) อย่างสุดขั้ว ไปจนถึง “ด้านสว่าง” และ “ด้านมืด” ของมนุษย์ หรือกระทั่ง “ทางโลก” และ “ทางธรรม”

เมื่อเปิดเรื่อง ผู้อ่านจะพบตัวละครสามเณรตุเต ซึ่งบวชตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยด้วยการผลักดันของโยมพ่อและโยมแม่ การบรรพชาเกิดขึ้นด้วยเหตุผลด้านโชคลางและสุขภาพตามความเชื่อของคนโบราณ เมื่อผันผ่านกาลเวลาสามเณรสามารถร่ำเรียนในแบบพระจนสอบผ่านระดับชั้น “มหา” อย่างเปรียญธรรมสามประโยคได้ กลายเป็นที่ยกย่องและภาคภูมิของคนในหมู่บ้าน แต่ปัญหาขนาดย่อมเกิดขึ้นเมื่อวัดที่จำพรรษาในต่างจังหวัดนั้นไม่มีการเรียนระดับสูง ทำให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสต้องพาเณรน้อยเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรับการศึกษาทางธรรมขั้นสูงขึ้นให้ได้

          ผู้เขียนใช้สำนวนภาษาอันเรียบง่ายแต่เปี่ยมจินตภาพ สร้างโลกวัยเยาว์ของเณรออกมาอย่างน่าติดตาม ดังเช่นตอนที่สื่อถึงลักษณะบ้านนอกเข้ากรุงและตื่นตะลึงเมื่อพบโลกใหม่ “ตุเตจำความรู้สึกแรกหลังเดินออกมาจากสถานีปลายทางหัวลำโพงได้...อื้ออึง โกลาหลอลหม่านด้วยผู้คน ยังกะอยู่ในรังมดแดงตอนแตกรัง มองไปทางไหนมีแต่แท่งตึกสูงชะลูดทิ่มฟ้า เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ไม่นึกว่าภาพจริงจะชวนมึนหัวขนาดนี้..” (หน้า 13) เมื่อผนึกรวมกับความเป็นเณรนิสัยดีจากต่างจังหวัด ก็พลอยทำให้รู้สึกอยากติดตามว่าโลกใบใหม่ของ “เณรดี” จะเป็นอย่างไรต่อ ใครจะมาดีใครจะมาร้ายกับเขา และจะเอาตัวรอดล่วงพ้นได้อย่างไร

          เมื่อสามเณรตุเตผูกร้อยเชื่อมใจกับผู้อ่านได้อย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่เปิดเรื่อง ความมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรม ความขยันหมั่นเพียร หรือกระทั่งทัศนคติอันใสซื่อต่อโลก ทำให้ผู้อ่านฝากใจเข้าสู่เส้นทางธรรมของเขาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ กระทั่งในเวลาต่อมาหลังจากได้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมเมืองใหญ่แล้ว ตัวสามเณรก็ยังแสดงออกถึงพฤติกรรมอันเป็นภาพจำของบุคคลตัวอย่างในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการผูกมิตรกับคนต่างชาติหลายต่อหลายครั้ง ยอมเสี่ยงตัวเองเพื่อช่วยเหลืออาจารย์สาวใหญ่ที่ตกน้ำตกท่า กระทั่งให้คำปรึกษาชีวิตแก่เพื่อนเณรที่ยังสับสนกับหนทางชีวิต นั่นยังไม่รวมถึงการยื่นมือไปช่วยเยียวยาแก้ไขสถานการณ์แบบเบี้ยบ้ายรายทางตามประสาคนมีน้ำใจอีกนับครั้งไม่ถ้วน

          ในฐานะของวรรณกรรมเยาวชนและวรรณกรรมอิงธรรมะ การผลิตซ้ำคุณค่าความดีงามมีให้เห็นอย่างดาษดื่นในเรื่อง เพราะกลุ่มเป้าหมายคือเด็กและเยาวชนยุคใหม่ที่พร้อมจะเรียนรู้ใด ๆ ก็ตามที่อ่านออก บางครั้งชวนให้เกิดความโหยหาอดีตในทำนองว่าผู้คนเคยจิตใจดีงามกว่านี้เมื่อครั้งกระโน้น และหนำซ้ำเมื่ออยู่ในบริบทของบวรพุทธศาสนาก็ยิ่งทำให้วรรณกรรมนี้ใกล้เคียงกับการสั่งสอนทางศีลธรรมมากยิ่งขึ้น บางครั้งเสามเณรตุเตจึงถูกยกให้เป็นหมุดแห่งความดี รายล้อมด้วยตัวละครเปรียบต่างในด้านมืดประเภทเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ซึ่งในทางวรรณกรรมเยาวชนตามแบบจารีตน่าจะเหมาะเป็นบทเรียนสั่งสอนเด็กได้ดีนัก แต่คำถามก็คือตัวเรื่องทั้งหมดนั้นดูซื่อใสไร้เดียงสากระนั้นหรือ?

          กล่าวสำหรับเณรตัวเอกของเรื่องซึ่งคล้ายตัวแทนแห่งคุณค่าความดีงาม หากผู้เขียนลดทอนศิลปะในการบอกเล่า หรือเพียงคิดจะมุมานะผลิตเป็นวรรณกรรมประเภทโฆษณาชวนเชื่อ ผู้อ่านอาจจะได้พบกับการถ่ายทอดแก่นเรื่องในฐานะโลกการผจญภัยของเณรน้อยท่ามกลางความบริสุทธิ์ผุดผ่อง กระทั่งอาจกลายเป็นปฏิบัติการสร้างภาพลักษณ์หรือมายาคติที่กลบเกลื่อนทุกสิ่งอันคุ้มดีคุ้มร้าย ลดทอนให้คงเหลือแต่ภาพอันสวยงามของสังคมไทยและบวรพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้เราจึงนับว่าผู้เขียนใช้ทางเลือกที่น่าสนใจกว่าเมื่อ “เรื่องที่คุณก็รู้ว่าอะไร” ถูกนำมาสวมใส่และซ่อนเร้นเอาไว้ในแทบทุกเหตุการณ์ บางครั้งก็เหมือนถูกปะพรมให้ลอยล่องไปทั่วทั้งองคาพยพ สุดแต่ว่าใครจะเหลือบมองเห็นหรือช่างสังเกต และบางครั้งก็แกล้งฝังกลบแบบไม่มิดเพื่อให้ความเป็นพุทธในทัศนะของผู้เขียนได้รับการตีความและวิพากษ์วิจารณ์อย่างแยบคาย

 

โลกไร้ความเลวใต้ร่มกาสาวพัสตร์

          โลกของคนละฝั่งแม่น้ำ คือโลกในแบบเมื่อครั้งหลวงพ่อยังเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล หรือกล่าวอีกอย่างว่าตามวัฒนธรรมไทยในอดีตที่ศาสนาพุทธยังเป็นแกนกลางของสังคม (มากกว่าทุกวันนี้) กลไกเพื่อหมุนให้ทุกสิ่งเคลื่อนไปได้ในสังคมไทยคือแรงหลักจากพุทธศาสนา วัดเป็นศูนย์กลางชุมชน เด็กชายจำนวนมากบวชเรียนเป็นสามเณรและมีหนทางก้าวหน้าในทางธรรมและทางโลก ชาวบ้านร้านตลาดเห็นหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง ผู้คนมองเห็นพระเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาที่น่าเลื่อมใส เมื่อเป็นเช่นนี้โลกทั้งใบหรือจักรวาลทั้งผองของสามเณรตุเต จึงมีเพียงการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้บวรพุทธศาสนา ด้วยใบบุญของหลวงพ่อเจ้าอาวาส มีเพื่อนสนิทเป็นสามเณรด้วยกัน ถูกควบคุมวินัยด้วยสารวัตรพระ (พระวินยาธิการ) กล่าวได้ว่าใดใดก็ล้วนวนเวียนอยู่ในแวดวงของคนห่มผ้าเหลือง

          ข้อสังเกตประการหนึ่งคือผู้เขียนใช้การสื่อสารด้วยภาษาอันเรียบง่ายแต่ไม่หลงลืมการใช้คำศัพท์ทางศาสนาที่ถูกต้องแต่พอเหมาะเพื่อผลักให้เรื่องราวเดินหน้า อีกทั้งยังใส่คำอธิบายสอดแทรกเอาไว้อย่างไหลลื่น นั่นทำให้เข้าใจกันได้ไม่ยากว่าการเป็นนักธรรมหรือสอบเปรียญธรรมก็คือการเรียนและเลื่อนชั้นในแบบของพระ หรือการกล่าวสัมโมทนียกถาคือการกล่าวเทศน์แบบสั้นหลังฉันอาหาร

          ดังที่กล่าวมา อาจจะเหมือนว่าโครงสร้างของเรื่องต้องมี “ท่าบังคับ” ว่าจะต้องพาไปเยี่ยมชมนิทรรศการสู่การเติบโตของเณรในบวรพุทธศาสนา และอาจชวนให้เกิดความเหนื่อยหน่ายต่อการอ่านหรือชวนง่วงหงาวหาวนอนเมื่อต้องกวาดสายตาไปพบชีวิตวนเวียนจำเจตามรอบเขตขัณฑสีมา แต่ความเก่งกาจของผู้เขียนอยู่ที่การผูกเรื่องให้เณรมีภารกิจที่จะต้องบรรลุให้ได้ในเวลาที่กำหนด นั่นคือหาทางสอบเปรียญธรรมระดับ 4 ประโยคภายในช่วงหนึ่งปี และระหว่างนั้นก็ต้องพบกับเรื่องราวสารพัดที่ต้องคลี่คลายไปให้ได้ทีละเปลาะนับตั้งแต่เดินก้าวแรกออกจากวัดในต่างจังหวัด

          สิ่งสำคัญอยู่ที่การสร้าง “ด้านมืด” ให้ออกมาปะทะสังสรรค์อยู่เนือง ๆ เสมือนภารกิจย่อยที่ให้น้องเณรเดินหน้าไปสู่ก้าวต่อไปในชีวิต

          เมื่อผู้เขียนไม่ได้มีท่าทีแบบตำราเรียนทางศาสนาด้วยการผูกโยงความดีงามหรือเรื่องราวอภินิหารจนเลยเถิด อีกทั้งหาได้มีฉันทาคติว่าสังคมที่มีศาสนาพุทธเป็นศูนย์กลางนั้นดีไปหมดชนิดหน้ามืดตามัว ผู้อ่านจึงได้พบว่าโลกของน้องเณรเป็นโลกที่มีทั้งด้านสว่างและด้านมืดปะปนกัน อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ภายใต้กรอบแห่งการเล่าในแบบวรรณกรรมเยาวชน สามเณรตุเตจึงได้เห็นสรรพสิ่งในลักษณะของการ “สังเกต” มากกว่าจะวิพากษ์โยงใยให้ซอกซอนสู่รากฐาน การบรรยายผ่านสายตาของคนที่มองโลกในแง่ดีและสดใสทำให้สรรพสิ่งดูอ่อนเบาลง ความเคร่งขรึมน่าหงุดหงิดถูกลดทอนด้วยภาษาสำนวน ท้ายที่สุดก็เหมือนทำให้เกิดโลกทัศน์ว่าความชั่วร้ายเลวทรามนั้นดูเจือจางลง หรือกระทั่งแทบไม่อาจดำรงอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ของสามเณรตุเตได้

          กลวิธีการวิพากษ์สังคมของผู้เขียนคือการ “บีบแล้วคลาย” ซึ่งถูกนำมาใช้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง ในช่วงแรกเมื่อสามเณรและหลวงพ่อออกเดินทางจากชนบทเข้ามาสู่ในเมือง และได้พบเจอกับวัดของคนในเมืองใหญ่ ผู้เขียนได้บรรยายเหตุการณ์เอาไว้ว่า

          “สีหน้าของพระเจ้าถิ่นเปลี่ยนไปทันที เมื่อทราบจุดประสงค์ของอาคันตุกะหน้าหมองสองวัย ‘โอ๊ย...ไม่มีหรอกท่าน วัดนี้ไม่รับพระอยู่มั่วๆ หรอก ไปหาวัดอื่นเถอะ...ไป้’”  

          “ถ้างั้นขอเข้าห้องน้ำได้ไหมครับ”

          “ข้างวัดใกล้ๆ มีปั๊มน้ำมัน ไปเข้าที่นั่นได้เลย”

          “‘คนปวดขี้ยังใจดำ’ ตุเตได้ยินท่านตัดพ้อเบาๆ” (หน้า 14)

           เรื่องไม่สู้ดีประดามีทั้งหลายถูกบอกเล่าผ่านเทคนิคตบหัวแล้วลูบหลัง กล่าวคือเมื่อพบเจอสิ่งน่ารำคาญใจอันโยงใยกับวงการสงฆ์ ไม่ช้านานนักก็จะถูกบอกเล่าในลักษณะตรงกันข้าม เพื่อทำให้เห็นว่าเหรียญมีสองด้าน และด้านที่สว่างไสวกว่าย่อมมีชัยชนะ กล่าวสำหรับตัวของสามเณรตุเตเอง ศีล สมาธิ และปัญญา รวมถึงความศรัทธาในพระพุทธองค์ คือหลักการพื้นฐานที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากพระธรรมและหลวงพ่อเจ้าอาวาส ช่วยประคับประคองให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดี ดังเช่นเมื่อผ่านพบความใจจืดใจดำของผู้คนไประยะหนึ่ง หลวงพ่อกับสามเณรตุเตก็ไปฉันอาหารในร้าน “...และยังไม่ทันที่เจ้าของร้านจะเดินมาถึงโต๊ะ ลูกค้าโต๊ะข้าง ๆ รีบตะโกนบอก ‘มาเก็บกับโต๊ะนี้เลยค่ะ ดิฉันขอถวายท่านเอง...’ อีกโต๊ะพอเห็นว่ามีคนอื่นตัดหน้า รีบเดินเข้ามาบอกโต๊ะแรก ‘ขอร่วมทำบุญด้วยนะครับ ค่าอาหารเท่าไหร่ขอหารครึ่ง อยากร่วมบุญ’” (หน้า 20)

          เหตุการณ์ลักษณะนี้วนเวียนอยู่หลายครั้งเมื่อประสบพบเรื่องชวนให้ดูหมิ่นคิดร้าย หรือมีเหตุให้ด้านมืดจ่อเข้าปกคลุมครอบงำ ทางออกด้วยแรงศรัทธาในทางศาสนามักปรากฎอยู่เสมอ สอดคล้องกับเหตุผลหลักอันถือว่าเป็นกลไกการขับเคลื่อนเรื่องราวก็คือแก่นเรื่องที่มีความศรัทธาในศาสนาเป็นที่ตั้ง ดังประโยคที่หลวงพ่อเจ้าอาวาส (บ้านนอก)  ได้กล่าวเอาไว้ว่า “พระพุทธเจ้าท่านนำทางไว้ให้แล้ว...” (หน้า 20) การอ่านวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้จึงเกิดสุนทรียะในแบบซาบซึ้งเมื่อทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ เช่นเมื่อเริ่มสิ้นหวังในการบิณฑบาต “ตุเตเดินตามหลังหลวงพ่อจ้าอาวาสไปจนถึงสี่แยกแต่บาตรยังว่างเปล่า คนใส่บาตรไม่มี....สุดสายถนนแล้ว แต่ยังไม่ได้อาหารเลย...” (หน้า 27) “บางบ้านเห็นอาหารใส่บาตรวางไว้บนถาดตั้งบนโต๊ะในบ้าน เขารอพระนิมนต์ประจำมารับ...” (หน้า 28) แต่ไม่นานนักก็จะตามด้วยเรื่องชวนให้ปลอดโปร่งโล่งใจ เมื่อห้วงขณะต่อมาได้พบแสงทองแห่งความหวัง “ตุเตรู้สึกมหัศจรรย์ใจเหลือประมาณ ที่จู่ๆ ก็มีญาติโยมกรูข้ามถนนมาใส่บาตรหลวงพ่อเจ้าอาวาส” (หน้า 29)

          ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็ไม่ลืมที่จะใส่ตัวละครประกอบและพล็อตย่อยเกี่ยวกับ “คนอื่น” ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสามเณรตุเต เพื่อขับเน้นให้เห็นว่า เมื่อไม่ประพฤติตนให้ถูกต้องตามทางที่พระพุทธองค์ทำทางเอาไว้ให้ จะเกิดอะไรขึ้น ดังจะพบได้จากเรื่องของ สามเณรโชค ผู้ต้องตามคติ “สนิมย่อมเกิดจากเนื้อในตน” กับพฤติกรรมอันธพาลของเขา หรือสามเณรแรมโบ้ผู้ที่ “เล่นกล้ามเพาะกายไม่สมควรกับบรรพชิต” ซึ่งล้วนพบกับชะตากรรมเลวร้ายต่างกรรมต่างวาระ ข้อน่าสังเกตประการหนึ่งคือแม้ว่าจะวิพากษ์บรรดานักบวชนอกรีตเหล่านี้ แต่ด้วยการมองโลกผ่านสายตาของสามเณรกลับไม่ทำให้ศาสนาดูมัวหมอง กลายกลับเหมือนเป็นเพียงสิ่งไม่ดีงามดั่งหมอกควันที่อีกประเดี๋ยวก็จางหายไป และไม่เหลือคราบไคลให้ศาสนาเสื่อมเสีย ทั้งหมดทั้งมวลอาจเป็นเพราะศักยภาพการผลิตซ้ำความน่าเลื่อมใสจากน้องเณรตุเตซึ่งถือเป็นตัวนำเรื่องทั้งหมดก็เป็นได้

 

ทุนนิยมดูซอฟต์เมื่อเป็นสีพาสเทล

          ในฐานะวรรณกรรมเยาวชน สายตาของตัวสามเณรน้อยเองจึงเป็นสายตาของเด็กในช่วงวัยที่มองสรรพสิ่งค่อนข้างสดใส แม้จะสังเกตเห็นบางสิ่งน่าหงุดหงิดใจหรือพอจะพบคำตอบในเบื้องต้นว่าเป็นเงื้อมเงาแห่งความชั่วร้าย หากแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสามารถเห็นแจ้งอย่างปรุโปร่งถึงฐานรากอย่างที่คนแก่พรรษาจะมองเห็น ดังนั้นจุดใหญ่ใจความหลักอันถือเป็นทักษะการเล่าเรื่องของผู้เขียนคือการปรับประสานประนีประนอมระหว่าง วิธีการเล่าในแบบของวรรณกรรมเยาวชนกับการมองโลกผ่านสายตาทุนนิยมวิพากษ์

          ทุนนิยมและวัตถุนิยมอาจจะเป็นตัวผู้ร้ายตัวจริงในโลกของเณรน้อยผู้ใสซื่อ และเป็นผู้ร้ายที่น้องเณรอาจยังไม่สามารถแตกฉานหรือตกตะกอนได้ว่าดำรงอยู่ในแทบทุกฝีก้าวราวกับเงาตามตัว หากมีนวนิยายสักเรื่องที่อยากจะนำเสนออย่างจัดจ้านในเรื่องของมนุษย์ที่เริ่มมัวเมาในวัตถุ สังคมที่ยินยอมให้เงินและทุนนำหน้าชีวิต ความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม และการพังทลายลงของสภาพจิตใจอันก่อเกิดจากวัตถุ ผู้เขียนอาจจะบดขยี้อย่างสุดแรงเกิดเพื่อให้เกิดพลังของดรามาและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนได้ ทว่าเมื่ออยู่ในบริบทของวรรณกรรมเยาวชน ทั้งหมดจึงเสมือนถูกทำให้ซอฟต์ลงจนกลายเป็นสีพาสเทล ... แม้จะสังเกตเห็นอยู่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็อยู่ในโทนอ่อนโยนตามสายตาของเด็ก ปิศาจร้ายเหมือนใส่หน้ากากขำขันผลุบโผล่ออกมาให้กลายเป็นปริศนาธรรม เช่นเดียวกับเสมือนก้อนกรวดกระเด้งกระดอนในเส้นทางเดินของเณรน้อย ท่ามกลางโลกที่ยังงดงามและเปี่ยมไปด้วยความหวัง

          แต่เมื่อผู้อ่านสังเกต ผู้อ่านก็ย่อมเห็นว่าเงินกลายเป็นปัจจัยที่โอบคลุมชีวิตของน้องเณรตลอดเวลา ตั้งแต่ความขาดแคลนทุนทรัพย์ในช่วงเริ่มผจญภัยเมืองหลวง ในช่วงแรกดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยให้ฝ่าฟันก้าวข้าม แต่หลังจากเริ่มคุ้นชินกับเมืองใหญ่ก็เริ่มพบว่าเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมต่างหาก ดังเช่น  “หลังจากออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ได้กับข้าวมาพอฉัน พร้อมซองปัจจัยข้างในบรรจุแบงก์ยี่สิบบาทหนึ่งซอง ปัจจัยนี้มีความหมายมากเลยสำหรับค่าไฟ ตอนแรกนึกว่าไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร ที่ไหนได้ พระเณรต้องจ่ายค่าไฟ” (หน้า 35-36) และเมื่อผู้อ่านย้อนระลึกถึงการบรรยายความอัตคัดของ “วัดจนๆ” ที่เณรตุเตจำพรรษา ก็น่าจะยิ่งทำให้เกิดความน่าสมเพชเวทนาในเชิงเศรษฐกิจเข้าไปใหญ่

          ในเวลาต่อมา เมื่อได้พบเพื่อนใหม่อย่างเณรวิชาญซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นคู่ซี้ที่สถานะแตกต่างกัน ก็พลันทำให้เกิดสภาพของสองฟากฝั่งแม่น้ำ แม้ว่าจะเฉลยในตอนท้ายว่าเป็นแม่น้ำแห่งการศึกษา (สายธรรม/สายสามัญ) แต่ในอีกความหมายหนึ่งก็คือสองฟากของชนชั้น เมื่อผู้อ่านได้พบว่าเณรอีกคนมาจากพระอารามหลวง ซึ่งสรรพสิ่งรายรอบนั้นเสมือนอยู่กันคนละชนชั้น “ห้องวิชาญแคบก็จริง แต่ข้างนอกส่วนที่เป็นพื้นที่รวมมีสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกครบครัน พื้นไม้ระเบียบห้องใหญ่สะอาดเป็นมันวับ มุมหนึ่งตั้งตู้เย็นและพวกอาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง วิชาญบอกว่าเป็นของส่วนกลาง ใครอยากฉันก็ไปหยิบได้ แถมพระเณรที่นี่ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องจ่าย วัดจ่ายให้หมด ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้...” (หน้า 42)

          ไม่เพียงเท่านั้น ภายหลังพบความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจในหมู่พระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกัน ก็ต้องไม่ลืมตอกย้ำมิติทางวัตถุนิยมและทุนนิยมด้วย “ขากลับ ผ่านอุโบสถ มีข้อความเชิญชวนบูชาวัตถุมงคล....‘ขายราคาเท่าไหร่หรือครับ’ องค์ละสองพันจ้า” (หน้า 43) หลังจากนั้นเดินออกจากวัดก็ได้พบกับพุทธพานิชย์เต็มรูปแบบด้วยพระเครื่องที่ถูกวางขายแบกะดิน

          ความสนุกสนานมันมือของผู้เขียน ยังปูไปสู่ความทุเรศทุรังของทุนนิยมที่เกาะแกะเณรน้อยชนิดไม่ปล่อยวาง ในช่วงของการติวหนังสือเพื่อสอบบาลีอย่างเข้มข้นจนมืดค่ำ เณรผู้ไร้ทุนทรัพย์ก็เข้าสู่สถานะคนยากจนเข็ญใจ ต้องเดินด้วยเท้าเป็นระยะทางไกลเพื่อกลับวัดโดยผ่านเส้นทางอโคจรอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงทำให้ถูกสารวัตรพระหรือเรียกอีกอย่างว่าพระวินยาธิการตรวจสอบซักไซ้ไล่เรียง ก่อนจะนำไปสู่คำถามว่า “ทำไมไม่นั่งตุ๊กตุ๊กหรือแท็กซี่กลับ” และลงเอยด้วยคำตอบอันชวนหดหู่ว่า “ผมไม่มีเงินครับ” (หน้า 104)

          ส่วนที่นับว่าเป็นจุดสูงสุดของความเป็นทุนนิยม/วัตถุนิยมที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่เณรตุเตได้ จนเสมือนเป็นเค้าลางว่าถ้าเณรน้อยเอ้อระเหยอยู่กับเมืองใหญ่นานเกินไป จะกลายเป็นคนอย่างที่เขาไม่น่าจะชื่นชอบ ส่วนนี้ปรากฎในเรื่องเล่าของ “สามเณรเปรียญเก้า” ซึ่งเมื่อประสบความสำเร็จสอบบาลีระดับสูงสุดจนได้รับการยกย่องจากกลุ่มคนมากหน้าหลายตา ก็กลับถูกลาภยศสรรเสริญดังกล่าวบดขยี้ กัดเซาะตัวตนและครอบครัว... ผู้เขียนมองความเป็นทุนและวัตถุคือศัตรูแห่งการบรรลุของน้องเณร และเลือกให้เณรน้อยเดินเลี่ยงไปอีกทางซึ่งไม่มีวันมาบรรจบกับสิ่งยั่วเย้าได้

          แต่ถึงจะมีสาระแฝงอันหนักหน่วง กระนั้นโลกในสายตาของน้องเณรก็หาได้น่าตื่นตระหนก หากยังสดใสไม่เสื่อมคลาย สิ่งใดใดที่พานพบคงเป็นเพียงบทเรียนสอนใจ เหมือนผู้ใหญ่ผ่านมาเล่านิทานชาดกให้ฟัง

 

          เมื่อจบเรื่อง ผู้วิจารณ์พบว่าความสนุกสนานและท้าทายสำหรับผู้เขียนคือการทำให้เกิดสภาวะผลุบ ๆ โผล่ ๆ ของสิ่งร้าย ซ่อนเร้นอยู่ในสภาพอันใสซื่อ เมื่อการอ่านดำเนินไปจะพบฉากหน้าคือโลกแห่งการเรียนรู้อันน่าติดตาม ส่วนสิ่งซึ่งดูไม่ดีงามทั้งปวงจะถูกผู้เขียนขึงม่านมัวซัวเต็มพรืดเพื่อบดบัง ยั่วเย้าให้ขบคิด ค้นหา และเรียนรู้

          ดังนั้นแม้รูปโฉมภายนอกของ คนละฝั่งของแม่น้ำ จะมีโครงสร้างและวิธีการเล่าเรื่องในฐานะวรรณกรรมเยาวชนแบบจารีต  เปิดประเด็นและบรรยายสรรพสิ่งอย่างระมัดระวัง สงวนรักษาท่าทีให้อยู่ในครรลองของประเภทวรรณกรรมสีขาว แต่ก็หาใช่เป็นผลงานแบบโลกสวยจนหวานเอียนเลี่ยนลิ้น เพราะกลับผสมรสขมแห่งชีวิตแทรกไปอย่างกลมกล่อมพอเหมาะ

          แน่นอนว่ารสหวานแห่งวรรณกรรมเยาวชนย่อมโดดเด่นออกมาเพื่อดึงดูดผู้อ่านตัวน้อย แต่เมื่อล่วงพ้นจากวัยเยาว์ก็จะแยกรสขมที่เจือแฝงออกมาได้อย่างแจ่มชัด เพื่อสักวันจะค้นพบว่าสิ่งที่เรียกว่าขมนั้นมีอย่างดาษดื่นหลากลายในโลกอ้นกว้างใหญ่นี้.

 

 

 

 

 

 

Visitors: 95,622