การเปิดเปลือยตัวตนในวรรณาคดี
อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง
รศ.ดร.สรณัฐ ไตลังคะ
วรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง พิมพ์โดยสำนักพิมพ์อ่าน ใน พ.ศ. 2567 เป็นงานที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่วงการหนังสือหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนชีวิตที่เป็นอัตชีวประวัติของนักเขียนหญิงที่หาได้น้อยเล่ม รวมทั้งศรีดาวเรืองได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนที่มีประวัติความเป็นมาลึกลับตั้งแต่ทศวรรษ 2520 จนกระทั่งมาเปิดเผยในภายหลัง โดยมักเล่าคล้ายๆ กันว่าเป็นนักเขียนหญิงที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นกรรมกรและลูกจ้าง แต่ได้เข้าสู่วงการหนังสือผ่านการสนับสนุนของสุชาติ สวัสดิ์ศรี นักเขียน กวี บรรณาธิการ ศิลปิน ผู้มีบทบาทอย่างสูงในวรรณกรรมไทยตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เป็นต้นมาและยังเป็นคู่ชีวิต ผลงานของเธอมีมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ สารคดี บทละคร บทความ งานแปล ผลงานได้รับการแปลหลายภาษา รวมทั้งบทบาทชำระต้นฉบับและกองบรรณาธิการ กล่าวได้ว่าเป็นนักเขียนที่โดดเด่นคนหนึ่งของวงวรรณกรรมไทยที่ถูกหน่วยงานทางศิลปวัฒนธรรมของรัฐไทยมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
ในบทนำหนังสือ บรรณาธิการคือ ไอดา อรุณวงศ์ บันทึกไว้ว่าเป็นผู้ชักชวนศรีดาวเรืองให้เขียนอัตชีวประวัติ “ข้าพเจ้าเพียงหวังให้เธอได้พูดถึงตัวเองอย่างที่ไม่อยู่ในกรอบเรื่องเล่าแม่บทของความเป็นกรรมกรจบ ป. 4 ที่ได้มาเป็นภรรยาบรรณาธิการปัญญาชนคนสำคัญของไทยและกลายเป็นนักเขียน ข้าพเจ้าอยากให้ศรีดาวเรืองพูดถึงผู้หญิงที่ชื่อวรรณา ทรรปนานนท์” (น. 9) ส่วนศรีดาวเรืองก็เขียนไว้ในคำนำผู้เขียนว่าคนอาจจะรู้จักศรีดาวเรืองผ่านหนังสือหลายเล่มทั้งไทยและต่างประเทศ “แต่ ...มีอีกไม่น้อย... ที่รู้จัก ‘ศรีดาวเรือง’ แต่ไม่รู้ความเป็นมา เพราะเป็นเรื่องราวของ ‘วรรณา’ ก่อนจะลาจากลูกสี่คนมาเป็น ‘ศรีดาวเรือง’” (น.11) เพียงเท่านี้ก็สร้างความฮือฮาให้ผู้อ่านได้ไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่เรารู้ว่าลูกชายของศรีดาวเรืองคือ โมน สวัสดิ์ศรี เป็นนักเขียนและคนทำหนังสือ แต่วรรณา ทรรปนานนท์เป็นใคร และลูกสี่คนคือใคร
อัตชีวประวัติเล่มนี้ชื่อว่า วรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดย ศรีดาวเรืองเป็นชื่อที่ปรับมาจากบทความชื่อ “วรรณาคดีของศรีดาวเรือง” เขียนโดยชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ (ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์, 2558: 194-256) ซึ่งเป็นบทความที่เขียนถึงตัวตนและผลงานของศรีดาวเรืองได้ดีที่สุดบทความหนึ่ง โดยชูศักดิ์น่าจะเล่นคำ “วรรณาคดี” ซึ่งแปลว่าเรื่องราวของวรรณา (ทรรปนานนท์) กับคำ “วรรณคดี” หมายถึง “งานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าดี” (ชูศักดิ์ไม่ได้กล่าว) อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มอัตชีวประวัติเล่มนี้ เล่นกับความซับซ้อนของตัวตนมากกว่านี้โดยการเพิ่มวลี “อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์” เข้าไป
สำหรับผู้อ่านวรรณกรรมไทยที่มีความรู้อยู่บ้างคงทราบว่า ศรีดาวเรืองเป็นนามปากกาของนักเขียนหญิง แต่ไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าชื่อจริงของเธอคืออะไร ดังนั้น ชื่อหนังสือวรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง ดูเผิน ๆ คล้ายจะเป็นงานเขียนของนักเขียนศรีดาวเรืองที่เขียนชีวประวัติของคนชื่อ “วรรณา ทรรปนานนท์”
อัตชีวประวัติคือเรื่องราวในอดีตของบุคคลที่สื่อสะท้อนประสบการณ์ ความทรงจำ และบทเรียนชีวิตที่บุคคลนั้นเขียนด้วยตนเองเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ โดยจุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้คือ “เป็นเรื่องราวของ ‘วรรณา’ ก่อนจะลาจากลูกสี่คนมาเป็น ‘ศรีดาวเรือง’” งานเล่มนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นความพยายามที่จะเข้าใจตัวตนและอธิบายตัวตนนั้นให้สาธารณชนเข้าใจ เพราะการกลับไปมองอดีตและเรียงร้อยออกมานั้นย่อมเป็นการทำความเข้าใจอัตลักษณ์และตัวตน ทว่า ข้อน่าสังเกตของชื่อหนังสือคือ ประวัติของ “วรรณา ทรรปนานนท์” ไม่ได้เขียนโดยวรรณา ทรรปนานนท์ แต่เป็นการเขียนโดย “ศรีดาวเรือง” นามปากกาที่นักอ่านรู้ว่าคือใคร
อัตลักษณ์ที่เลื่อนไหล
ประเด็นอัตลักษณ์เป็นคำที่หมายถึงตัวตน มีการถกเถียงกันว่าคำว่าอัตลักษณ์นั้นคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ การตั้งชื่อหนังสือวรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง จึงชี้ให้เห็นว่ามี “ช่องว่าง” แห่งตัวตนของวรรณา ทรรปนานนท์กับตัวตนของศรีดาวเรือง ชีวิตของวรรณา ทรรปนานนท์คือตัวตนในอดีตของศรีดาวเรือง เราอาจกล่าวได้ว่า ศรีดาวเรืองเป็น “the narratingI” คือ “ฉัน” ที่เล่าเรื่องวรรณา ทรรปนานนท์ ซึ่งเป็น “the narrated I” (“ฉัน” ที่เป็นคนที่ถูกเล่า) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องราวของ “ศรีดาวเรือง” นักเขียนผู้ประสบความสำเร็จในวัย 80 กว่าปี ที่หันกลับไปมองชีวิตของ “วรรณา” เด็กบ้านนอกจบ ป. 4
เราอาจกล่าวได้ว่า “ฉัน-ผู้เขียน” กำลัง “วิพากษ์” “ฉัน-ผู้ถูกเขียน” ศรีดาวเรืองมักวิจารณ์วรรณาในเรื่องความเยาว์วัย ไร้เดียงสา เช่น มีผู้ชายมาจีบก็คิดว่าจะมีคนรักทั้งที่ผู้ชายนั้นหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ดื้อรั้น เช่นตอนหนีแม่ไปเที่ยว เข้าไปในสถานที่ที่หวงห้ามจนต้องกลายเป็นผู้ประสบภัย ตัดสินใจผิดพลาด ไปอยู่กินกับผู้ชายเจ้าชู้ ฯลฯ กระทั่งโทษตนเองว่า “เป็นสาเหตุของการตายของพ่อเพราะพ่อเสียใจที่ลูก โง่ เลว เอาตัวไม่รอด” (น.133)
แต่ในขณะเดียวกันเรื่องก็เล่าถึง “วรรณา” ที่ไม่งอมืองอเท้า แต่มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งเรียนภาษาอังกฤษ เรียนพิมพ์ดีด ขับรถ เรียนตัดเสื้อ ฯลฯ
น่าสังเกตว่าในเรื่องนี้ ผู้เขียนกล่าวถึงชื่อหลายชื่อของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น “อีหย็อง” ที่คนในครอบครัวเรียก “วรรณา” ชื่อที่เป็นทางการที่สุดเพราะเป็นชื่อที่ใช้ตอนเข้าโรงเรียน “นภา” ซึ่งเป็นชื่อที่เจ้าตัวเปลี่ยนเองเมื่อย้ายถิ่น “นิด” ชื่อที่ใช้ในกลุ่มศึกษาการเมือง “ศรีดาวเรือง” ที่เป็นนามปากกาที่สุชาติ สวัสดิ์ศรีตั้งให้ ที่ต่อมากลายเป็นชื่อ “ดาว” ที่เพื่อนบ้านเรียก และ “ศรี” ที่คนในวงการหนังสือบางคนเรียก
จะเห็นได้ว่าผู้เขียนจงใจนำเสนอชื่อเรียกตนที่แตกต่างออกไปตามกาลเวลา เราอาจตั้งข้อสังเกตว่าชื่อต่าง ๆ เหล่านี้แสดง “ตัวตน” ในแต่ละช่วงเวลา และตัวตนที่แตกต่างไปตามกลุ่มคนที่ผู้เขียนมีความสัมพันธ์ (แต่สำหรับคนที่ทำร้ายจิตใจเธอนั้น “ไม่มีชื่อ” ราวกับจะบอกว่าพวกเขานั้นไม่มีตัวตน)
ด้วยเหตุนี้บทความนี้จึงเห็นว่าชื่อเรื่องวรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง จึงเป็นการเล่นล้อกับอัตลักษณ์ได้อย่างแยบคาย
ศรีดาวเรืองเล่าเรื่องวรรณา
หากเราวิเคราะห์หนังสืออัตชีวประวัติ อาจพบได้ว่ามีการใช้โครงเรื่องหลายแบบ อาทิ “พัฒนาการของบุคคลเมื่อเผชิญโลกกว้าง” “การไต่เต้าจากจุดต่ำสู่จุดสูงสุด” “การวิจารณ์ตนเองและการสารภาพบาป” “เรื่องราวการพัฒนาด้วยตนเองของบุคคล”
ในฐานะนักเขียนชื่อดัง เราคงคาดหมายว่าโครงเรื่องของอัตชีวประวัติเล่มนี้น่าจะเป็น “เรื่องราวการพัฒนาด้วยตนเองของบุคคล” หรือไม่ก็ “การไต่เต้าจากจุดต่ำสู่จุดสูงสุด” ของนักเขียนที่เป็นที่ยอมรับในวงวรรณกรรมไทย มีชื่อเสียงในระดับสากล มีงานที่ได้รับการแปลหลายภาษา ได้รับเชิญไปต่างประเทศ ฯลฯ แต่ไม่ใช่! หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ ก่อนที่จะมาเป็น “ศรีดาวเรือง”
ดังนั้นหนังสืออัตชีวประวัติเล่มนี้จึงไม่เพียงพยายามอยู่นอกกรอบของเรื่องเล่าแม่บท ที่มักเสนอภาพ “ความสำเร็จ” ของ “นักเขียนกรรมกร จบ ป. 4” แต่กลับเล่า “ความล้มเหลว” ในชีวิตก่อนจะมาเป็นนักเขียนชื่อดัง[1] ในฐานะอีหย็อง วรรณา นภา นิด ชีวิตที่ต้องระหกระเหินจากบ้านแต่เด็กเพื่อหางานทำส่งเงินให้แม่ เป็นลูกจ้าง คนใช้ กรรมกร รับจ้าง สารพัดงานที่ต้องย้ายไปตามที่ต่าง ๆ และตัวตนที่ย้ำเตือนตนเองตลอดเวลานั้นคือความต้อยต่ำจากการเป็นคนใช้ “ฉันไม่อยากกลับไปเมืองหลวง เมืองที่มีจ้าวนายหลายคน เมืองที่ฉันรับหน้าที่เป็นคนต่ำต้อย-ติดดิน เมืองที่เขาเหยียดหยามลูกแม่เหลือเกิน” (น.86) ผู้เขียนเล่าถึงตอนที่เป็นลูกจ้างในบ้านคนจีนที่ “ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” เอาลิปสติกของนายมาทา ใส่กางเกงขาสั้นที่เพื่อนบ้านที่ยากจนและถูกดูถูกให้มา เด็กสาวที่มีความต้องการสวยเหมือนสาวๆ ทั่วไปในโลกนี้กลับถูกประณาม และถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้าจนล่อนจ้อน ต้องกลับไปนุ่งผ้าถุงที่เหมาะสมกับสถานะมากกว่า ผู้เขียนเล่าเรื่องตอนนี้อย่างละเอียด ชี้ให้เห็นชีวิตที่ถูกกระทำ เหยียดหยามจนแทบไม่เหลือความเป็นคน
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องยังเปิดเปลือยชีวิตที่ยิ่งกว่าละคร การถูกละเมิดทางเพศ การ “หนีตามผู้ชาย” การถูกกระทำด้วยความรุนแรงในพื้นที่บ้าน การปรารถนาที่จะจบชีวิต การเลือกมีชีวิตของตนเองมากกว่าเป็นเมียและแม่ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่โครงเรื่องของ “ความสำเร็จ”
ผู้เขียนยืนยันชัดเจนว่าถึงวิธีการเขียนอัตชีวประวัติครั้งนี้ว่า “แต่...อัตชีวประวัติที่เลือกเอาเฉพาะเหตุการณ์ดี ๆ ก็คงไม่ต่างจากข้อความที่ใช้อ่านประวัติผู้ตายในงานศพเท่านั้น” (น.164)
สตรีนิยมที่แท้
แม้ผู้เขียนไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นนักสตรีนิยม แต่การดำเนินชีวิตที่ปรากฏในอัตชีวประวัติ เป็นการท้าทายและตั้งคำถามต่อบทบาทของผู้หญิงที่สังคมกำหนด เราอาจเชื่อมโยงอัตชีวประวัตินี้กับแนวคิดในเรื่องสั้น “มัทรี” ของศรีดาวเรืองอันโด่งดัง ที่ตั้งคำถามเรื่องบทบาทของชายหญิงในพุทธศาสนา และการที่ผู้หญิงถูกประณามเพราะไม่ทำหน้าที่ของเมียและแม่
ในอัตชีวประวัติเรื่องนี้ ศรีดาวเรืองได้แสดงถึงความขัดแย้งในชีวิตเรื่องลูก การเลือกที่จะ “มีชีวิต” ของตนเองมากกว่าการอุทิศตนเพื่อลูก เป็น “การทำผิดมหันต์ถึงสองครั้ง ฉันไม่มีทางอื่นจะแก้ตัว ไม่อาจขอโทษ ได้แต่ยอมรับผิดกับลูกทุกคน” (น.159) ข้อน่าสังเกตคือเรื่องจบเมื่อผู้เขียนเล่าเรื่องลูกทั้งสี่คนที่เติบโตอย่างดีพอประมาณทั้งที่ขาดแม่ เราจึงอาจกล่าวได้ว่า อัตชีวประวัติเรื่องนี้มีโครงเรื่องของ “การวิจารณ์ตนเองและการสารภาพบาป” การเขียนเรื่องนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นกระบวนการเยียวยาบาดแผล
ในฐานะผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อย ขาดโอกาสในสังคม การหาคู่อาจไม่มีทางเลือกมากนั้น ความผิดพลาดครั้งแรกเกิดจากการตกกระไดพลอยโจนหลังจากถูก “ญาติใส่พานให้ชู้” ครั้งที่สองแม้จะเป็นทางเลือกของตนเองแต่ก็โชคไม่ดีพอ การมีคู่ครั้งนี้ให้ชีวิตที่สุขสบายไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไร้ศักดิ์ศรีและคุณค่าเพราะสามีเล่นการพนัน ดื่มสุราและเที่ยวผู้หญิง ทั้งสองครั้งผู้เขียนเลือกที่จะสร้างชีวิตใหม่ให้ตนเองโดยไม่ยอมอยู่ในกรอบของคุณค่าของผู้หญิงดีของสังคมไทย การทิ้งลูกให้อยู่กับพ่อและญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่คือสิ่งที่ตนเห็นว่าดีที่สุด หลังจากการตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการจบชีวิตตนเองไม่ประสบผลสำเร็จ ศรีดาวเรืองกล่าวว่า “เมื่อมีชีวิตอยู่ ฉันได้พยายามเริ่มต้นใหม่ ตั้งสติรำลึกว่า หญิงดีต้องทำตัวให้เห็นกุลสตรี เป็นนางแก้วอย่างในนวนิยายรักที่ชอบอ่าน...ซึ่งฉันก็ได้พยายามแล้ว ตลอดระยะเวลาห้าปี แต่ก็สุดจะทน ฉันไม่เข้าใจว่าผู้หญิงจะต้องอดทนถึงขนาดไหนจึงจะเรียกว่าอยู่ในระดับที่ใช้ได้” (น.135)
ผู้เขียนต้องใช้ความกล้าหาญขนาดไหนที่จะบันทึกสิ่งที่ไม่อยากคิดถึง สิ่งที่ไม่ควรเขียน และสิ่งที่เขียนถึงไม่ได้!
ศรีดาวเรืองเลือกที่จะเปิดเผยชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกกระทำมาตลอด ทั้งในฐานะคนยากจน การศึกษาน้อย และผู้หญิง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เธอเลือกทางเดินใหม่ของตนเอง ผู้เขียนปฏิเสธความเป็นเมียและแม่ พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ “ฉันไม่อาจขอให้เด็ก ๆ ยกโทษให้ เพราะมันง่ายเกินไป เป็นแม่ที่เหมือนไม่ใช่ เพราะไม่ยอมอดทนไปทั้งชาติ” (น.141) และในที่สุด การเริ่มต้นใหม่ครั้งสุดท้ายกับบรรณาธิการผู้ชื่อเสียงก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ กระทั่งคิดว่าหากชีวิตลูกสูญสิ้นเพราะเขาร่างกายไม่แข็งแรง เธออาจจะจากสามีไป “ไม่ดันทุรังอยู่เพื่อขัดขวางความสุขของเขา” (น.160)
จากการอ่านงานเขียนเรื่องนี้ เราเห็นการดิ้นรนที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้โดยที่พยายามประนีประนอมกับสังคมปิตาธิปไตยอย่างที่สุด แต่แล้วก็ไม่สามารถทนอยู่กับคุณค่าของสังคมที่เห็นผู้หญิงเป็นสมบัติ เป็นทาสในเรือนเบี้ย แม้ชีวิตกับคู่คนที่สองจะสุขสบาย แต่ “ความภูมิใจในตนหาไม่เจอ” “เป้าหมายในชีวิตไม่มี” เธอเลือกที่จะจากไปเพื่อเอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คืนมา
เป็นความผิดของผู้หญิงที่มีความใฝ่ฝันในชีวิตหรือ?
สำนวนการเขียนที่ออกนอกกรอบ
แม้ดูเหมือนว่าผู้เขียนจะท้าทายอุดมคติผู้หญิงดี และมุ่งไปสู่การแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้วอัตชีวประวัติเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของครอบครัว ยาย พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อน ครู สามี ลูก การ “ออกนอกกรอบ” ของหนังสือเล่มนี้จึงย้อนแย้ง กลายเป็นงานเขียน “แบบผู้หญิง” ที่เน้นการวางตัวตนอยู่ในความสัมพันธ์กับครอบครัว ความทรงจำของเธอจึงปรากฏผ่านการเลี้ยงดูที่เข้มงวดของแม่ การปลูกฝังเรื่องการอ่านของพ่อ และความยากลำบากในวัยเด็ก
การประกอบสร้างอดีตขึ้นมาใหม่จึงเป็นแสดงตัวตนของวรรณา ทรรปนานนท์ ไม่ใช่ศรีดาวเรือง
ด้วยเหตุนี้อัตชีวประวัติจึงจบลงด้วยความเป็นวรรณา ทรรปนานนท์ ส่วนความสำเร็จในฐานะนักเขียนศรีดาวเรืองถูกเล่าเพียงช่วงต้นตอน “กำเนิดของศรีดาวเรือง” เท่านั้น สำหรับผู้เขียน “ความสำเร็จ” ของศรีดาวเรืองไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการเขียนงานเล่มนี้ ราวกับว่า “การจบ” ของวรรณา ทรรปนานนท์ คือการเริ่มต้นของชีวิต “ศรีดาวเรือง” จึงไม่น่าแปลกใจที่วงวรรณกรรมจะไม่รู้จักนามวรรณา ทรรปนานนท์
อย่างไรก็ตาม ในภาคผนวกของหนังสือเล่มนี้ (คาดว่า) บรรณาธิการได้ทำให้ทั้งชีวิตของวรรณา ทรรปนานนท์และศรีดาวเรืองสมบูรณ์ ด้วยการเพิ่มภาคผนวก “บทแทรกเสริมท้าย: ยายเพิ้งใน 6 ประเทศ” เล่าเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศตามคำเชิญของหน่วยงานต่างๆ “บทแทรกเสริมท้าย: ศพหนังสือ” เล่าเรื่องเหตุการณ์น้ำท่วมที่ทำให้สูญเสียหนังสือและเอกสารจำนวนมาก และ “เกี่ยวกับ ‘ศรีดาวเรือง’” ที่รวบรวมผลงานประเภทต่าง ๆ รวมทั้งบทสัมภาษณ์และบทความ
ภาคผนวกดังกล่าวแสดงให้เห็นตัวตนของศรีดาวเรืองได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นผู้ที่ถ่อมตน ไม่แสดงความโอ้อวด ในตัวเรื่องอัตชีวประวัติไม่ได้กล่าวถึงสถานะนักเขียนของเธอ ปล่อยให้ผลงานที่รวบรวมอยู่ท้ายเล่มเป็นประจักษ์พยานของ “ความสำเร็จ” อย่างสูงในฐานะนักเขียนหญิง
เป็นความเป็นจริงที่ว่าการเกิดของศรีดาวเรืองได้รับการสนับสนุนจากสุชาติ สวัสดิ์ศรี และตำแหน่งแห่งที่ในวงวรรณกรรมมีส่วนทำให้งานของศรีดาวเรืองมีแต้มต่อ ดูเหมือนว่าในอัตชีวประวัติเล่มนี้ผู้เขียนให้คุณค่ากับความยากลำบากและประสบการณ์ชีวิตในฐานะที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนผลงาน พิจารณาจากหลายตอนที่ผู้เขียนระบุว่าเหตุการณ์ในชีวิตตอนนั้น ๆ ได้ถูกนำไปเขียนเป็นผลงานวรรณกรรม ด้วยเหตุนี้ กระบวนการนิยามตัวตนของศรีดาวเรืองและงานของเธอจึงตกไปอยู่ที่ความเป็นวรรณา ทรรปนานนท์
แต่แน่นอนที่ว่าผู้เขียนย่อมต้องอยู่ในสถานการ์ที่ซับซ้อน นั่นคือทำอย่างไรให้ดิ้นหลุดออกมาจากร่มเงาของสุชาติ สวัสดิ์ศรี อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่ได้ขยายความประเด็นนี้มากนัก และหากเราได้อ่านผลงานของศรีดาวเรืองก็จะพบว่างานของเธอเสนอประเด็นทางสังคมได้อย่างเฉียบคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับสถานภาพของผู้หญิงในสังคมไทยซึ่งทั้งเนื้อหาและสำนวนการเขียนมีลักษณะเฉพาะตน ซึ่งย่อมแสดงว่าเธอได้ปลดปล่อยตัวเองได้สำเร็จ
การหลุดออกจากกรอบการเขียนงานอัตชีวประวัตินอกจากเป็นประเด็นของเนื้อหาแล้ว ความโดดเด่นก็คือท่วงทำนองการเขียนแบบผู้หญิง คือไม่ได้เน้นโครงสร้างของเรื่องและบทที่เรียงลำดับตามเวลาอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่มีลักษณะสลับลำดับเวลาซึ่งดำเนินเรื่องตามความทรงจำของผู้เขียนที่ย้ำเสมอถึงความแก่ชราของตน “ตัวตน” ที่เลื่อนไหลผ่านการทำงานหลายประเภททำให้ผู้อ่านอาจงุนงงเรื่องลำดับเวลา กล่าวได้ว่า งานเขียนมีลักษณะแตกเป็นชิ้นส่วน ผู้เขียนมักแทรกบทเพลง บทกลอน บทร้อยกรองอิสระ ทำให้งานไม่ต่อเนื่องทั้งทางเวลาและความเป็นเหตุเป็นผล บางครั้งผู้เขียนก็เล่าเรื่องแบบวรรณกรรม เช่นบท “สิบนิ้วประนม” ที่คล้ายเรื่องสั้น บางครั้งผู้เขียนใช้กลวิธีทางวรรณกรรมเพื่อทำให้เรื่องน่าติดตาม เช่น การชะลอความรับรู้ (delay) คือทิ้งเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเอาไว้ไปเขียนในบทต่อไป ดูเหมือนว่ามีการใช้การเล่าข้าม (ellipsis) หลายตอน กล่าวคือไม่มีการบรรยายรายละเอียดประสบการณ์ที่เลวร้ายจากชีวิตคู่ เช่น การเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น
บทเรียนชีวิต
ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตคนคนหนึ่งจะยิ่งกว่านิยาย เผชิญกับการกดขี่ข่มเหงที่ลดคุณค่าของความเป็นคนทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความสอดคล้องของผลงานเขียนกับชีวิตจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เขียนได้ใช้วรรณกรรมเยียวยาจิตใจ และเมื่อเขียนเรื่องราวของตนเองในวัยกว่า 80 ปี “ประสบการณ์ที่เลวร้าย” เมื่อผ่านไปก็กลายเป็นเพียง “ประสบการณ์ชีวิต” ที่ไม่มีอะไรจะต้องอับอาย เมื่ออ่าน วรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง เราเห็นชีวิตของผู้หญิงที่ล้มแล้วลุกมาได้ทุกครั้ง ผู้หญิงที่ไม่ยอมเป็นเพียงเมียและแม่ แต่มีความฝันและจุดมุ่งหมายในชีวิต บางทีอัตชีวประวัติเล่มนี้ได้ให้ “บทเรียนชีวิต” ล้ำค่าแก่ผู้อ่านว่า รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการรักตนเอง
ขอคารวะผู้หญิงคนนี้ วรรณา ทรรปนานนท์!
เอกสารอ้างอิง
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์. (2558). อ่านใหม่. กรุงเทพฯ: อ่าน.
บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, หม่อมหลวง.(2527). ความสำเร็จและความล้มเหลว. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์.
ศรีดาวเรือง. (2567). วรรณาคดี อัตชีวประวัติของวรรณา ทรรปนานนท์ โดยศรีดาวเรือง. นนทบุรี: อ่าน.
----------------------------------------
[1] ล้อชื่ออัตชีวประวัติของหม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ เรื่องความสำเร็จและความล้มเหลว พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2514 เนื่องในโอกาสฉลองอายุห้ารอบ ดู หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ, ความสำเร็จและความล้มเหลว (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2527).