202505VIP05

พลับพลามาลี*

ความฝันของสังคมไทยเมื่อต้นพุทธศตวรรษ 2500

สิ่งแปลกใหม่ หรือ สิ่งแปลกปลอม ?

 จรูญพร ปรปักษ์ประลัย

 

 

 

            ถ้ามีแบบทดสอบถามว่า วรรณกรรมการเมืองของไทยมีเรื่องใดบ้าง เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงนึกชื่อได้เพียงไม่กี่เล่ม แทบจะนับครบด้วยสองมือเสียด้วยซ้ำ

            ไม่ต้องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะถึงตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 จะมีผู้สร้างสรรค์เรื่องแนวนี้อยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่กลับหล่นหายไปกับกาลเวลา “พลับพลามาลี” นับเป็นหนึ่งในวรรณกรรมการเมืองที่ทุกวันนี้ไม่มีใครเอ่ยถึงแล้ว จนดูคล้ายเป็นวรรณกรรมตามฤดูกาล เมื่อเปลี่ยนฤดูก็ถูกลืมเลือนไปสิ้น  

            “พลับพลามาลี” เป็นนวนิยายของ รัตนะ ยาวะประภาษ นักเขียนกลุ่ม “มนุษย์สี่แบบ” ซึ่งโดดเด่นอย่างมากนับจากทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา นอกจากเขาแล้ว นักเขียนมือทองกลุ่มนี้อีก 3 คนก็คือ ’รงค์ วงษ์สวรรค์  อาจินต์ ปัญจพรรค์ และนพพร บุณยฤทธิ์

            ทั้งหมดนอกจากจะเขียนหนังสือแล้ว ยังทำงานหนังสือกันอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเทียบกันแล้ว รัตนะ ยาวะประภาษ ดูจะมีภาพความเป็นนักหนังสือพิมพ์มากกว่าเพื่อน เริ่มจากผันตัวจากนิสิตคณะพาณิชศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาทำงานหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อายุ 21 ปี ที่ “ภาพข่าวสยามนิกร” ในปี 2492 - 2494 ก่อนแจ้งเกิดเต็มตัวที่ “ชาวกรุง” ในปี 2494 ด้วยตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการและคอลัมนิสต์ หนึ่งในผลงานที่ยังถูกกล่าวถึงคือคอลัมน์ “ขอบกรุง” ซึ่งเป็นงานต้นแบบกลอนเปล่าในปัจจุบัน เขียนโดยใช้นามปากกา ราช รังรอง

            จากนั้นเขาย้ายไปทำหนังสือพิมพ์และนิตยสารอีกหลายฉบับ ทั้ง “เดลิเมล์วันจันทร์” “สกุลไทย” “สันติสุข” “ดาราไทย” “แฟชั่นและดารา” “อาณาจักรไทย” “เกียรติศักดิ์” “สายฝน” “มงกุฎดาว” ฯลฯ โดยสับเปลี่ยนงานหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าข่าวต่างประเทศ หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ แต่ถึงทำหนังสือมาหลายแนว ภาพที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเขาก็คือนักหนังสือพิมพ์การเมือง จากการเป็นเจ้าของ ผู้อำนวยการ และบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ “สุภาพบุรุษ – ประชามิตร รายสัปดาห์” เมื่อปี 2522 – 2524 ต่อด้วย “หลักไท” ที่เป็นทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นับจากปี 2525จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตในอีก 9 ปีต่อมา

            ทั้งหมดคือชีวประวัติฉบับบีบอัด แต่ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น จนเข้าใจว่าอะไรคือแรงผลักให้เขาเขียนนวนิยายการเมืองอย่าง “พลับพลามาลี” ในปี 2510 เราคงต้องย้อนไปก่อนหน้านั้นสองทศวรรษ เริ่มจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติในปี 2488 ตามมาด้วย “สงครามเย็น” ในเวลาต่อมา ณ ขณะนั้นความขัดแย้งของสองขั้วอำนาจส่งแรงสะเทือนไปทั่วโลก และแน่นอน ไทยย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น       

 

เมื่อโลกแบ่งเป็นสอง คมมีดที่กรีดผ่าสังคมไทย  

             สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความหวาดกลัวภัยสงคราม ส่วนสงครามเย็นได้สร้างโลกที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ประเทศประชาธิปไตยและประเทศคอมมิวนิสต์ ทั้งสองฝ่ายต่างสร้างภาพชั่วร้ายของกันและกัน ตามสื่อต่าง ๆ ตั้งแต่ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ นวนิยาย ไปจนถึงสื่อการ์ตูน ภาพมหาอำนาจผู้ชั่วร้ายฉายเด่นชัดให้ผู้คนเกลียดชัง   

            ในสังคมไทย คอมมิวนิสต์กลายเป็นผีร้าย รัฐบาลผลิตสื่อมากมายเพื่อเตือนประชาชน ไม่ให้หลงเชื่อและเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งกลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาลและต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” นักคิดนักเขียนหลายคนทยอยเดินทางเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อาทิ อัศนี พลจันทร์ และ จิตร ภูมิศักดิ์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งส่งผลให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากตัดสินใจเข้าร่วม ด้วยอุดมการณ์และความใฝ่ฝันอันเต็มเปี่ยม

            ขณะเดียวกันในอีกฝากความคิด นักเขียนอย่างคึกฤทธิ์ ปราโมช  วสิษฐ เดชกุญชร และอีกจำนวนไม่น้อย ก็ใช้วรรณกรรมนำเสนอแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ ผ่านนวนิยายอย่าง “ไผ่แดง” “จันทน์หอม” รวมถึง “พลับพลามาลี” ซึ่งคงต้องยอมรับว่า เป็นหนึ่งในผลิตผลของขั้วความคิดนี้ด้วย

            รัตนะ ยาวะประภาษ เขียนไว้อย่างชัดเจนในคำตาม “ลิเกลาโรง” ที่อยู่ท้ายเล่มถึงความตั้งใจในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้

            “...ใน พลับพลามาลี ข้าพเจ้ามีหน้าที่สำคัญในการเก็บเอาตัวบุคคลต่าง ๆ ในแต่ละส่วนแต่ละเสี้ยวของแผ่นดินไทยมารวมไว้ในที่เดียวกัน

            “บุคคลที่ข้าพเจ้าเลือกคัดเอามานี้ ท่านจะเห็นได้ว่าไม่ใช่ตาสีตาสายายมายายมี และก็ไม่ใช่ทั้งโสเภณีหรือเมียเช่าฝรั่ง

            “บุคคลที่ข้าพเจ้าคัดเลือกเอามาล้วนแล้วแต่เป็นคนหนุ่มสาวชนิดหัวกระเด็นของช่วงเวลานับแต่ปีหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้นมาจนถึงปีสองพันห้าร้อยอันเป็นปีกึ่งพุทธกาล

            “แม้นวนิยายเรื่องนี้จะขึ้นต้นและจบลงในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนของปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสิบ แต่กระดูกสันหลังของเรื่องก็อยู่ที่ปีสองพันสี่ร้อยเก้าสิบถึงปีสองพันห้าร้อย...” (หน้า 376)

            ‘หนุ่มสาวชนิดหัวกระเด็น’ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากปัญญาชนในเวลานั้น ทั้งในแวดวงการเมือง นักเขียน – นักหนังสือพิมพ์ นิสิตนักศึกษา รวมไปถึงผู้คนหลากหลายอาชีพ ซึ่งล้วนฝันใฝ่ถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่พระภิกษุหัวก้าวหน้าบางรูป

            ถ้าเทียบกับ “ไผ่แดง” ที่วิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้านซึ่งมีแนวคิดเอียงซ้าย “พลับพลามาลี” เจาะไปที่กลุ่มคนซึ่งเป็น ‘สมอง’ ของขบวนการสร้างโลกใหม่ เมืองในฝัน ดินแดนยูโทเปีย โลกยุคพระศรีอาริย์ หรือที่รัตนะ ยาวะประภาษ เรียกว่า พลับพลามาลี’ ตามชื่อนวนิยายเรื่องนี้ พร้อมบอกว่า ทั้งหมดเป็นเพียงภาพฝันที่คนกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้นมา เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ เห็นดีเห็นงามตาม เสียสละตัวเองเข้าร่วมต่อสู้ แต่สุดท้ายแล้ว นักสร้างภาพฝันเพียงไม่กี่คนนั่นแหละ ที่จะได้รับผลประโยชน์เต็ม ๆ ในฐานะผู้ปกครองโลกใหม่

            ความฝันแบบมาร์กซ์ที่กลายมาเป็นหนึ่งในความฝันของสังคมไทย ณ เวลานั้น สะท้อนผ่านเรื่องราวที่เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับกลุ่มคนที่รวมตัวกันอย่างลับ ๆ ส่งต่อแนวทางการต่อสู้ด้วยวิธีที่เด็ดขาด ไม่ลังเลต่อความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

            “...เพราะความที่เรากลัวการนองเลือด สังคมของเราจึงยังคงล้าหลังและบีบบังคับให้เราตกอยู่ในภาวะจำยอมยิ่งกว่าที่เปิดประตูอิสระให้เราช่วยกันปลดพันธนาการให้แก่สังคม และนำสังคมนั้นไปสู่วิถีทางที่ดี...” (หน้า 309)

            และ “...คุณคิดว่าเราจะปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงโดยไม่ฆ่ามดแดงได้อย่างนั้นหรือ ถ้าเราไม่พังตึกเก่าลงแล้วเราจะสร้างตึกใหม่ทันสมัยได้อย่างไร...” (หน้าเดียวกัน)

            จากนั้นรัตนะ ยาวะประภาษ ก็ได้เปิดเผยความจริงอีกชั้นว่า ถึงแม้จุดเริ่มต้นของหลายคนอาจอาจมาจากอุดมการณ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเห็นแก่ตัวกลับเข้าครอบงำ แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ก็เอาประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง

            เห็นชัดจากเรื่องราวทั้งหมดว่า รัตนะ ยาวะประภาษ มีจุดยืนอย่างไรในความขัดแย้งระหว่างสองขั้วความคิด แม้ผลงานอย่าง “สบตามังกร - นอนข้างสิงโต” รวมถึงงานแปล “อักลี่ อเมริกัน” “เคนเนดีผู้เกรียงไกร” และ “แจ๊คเกอลีน เคนเนดี้” ที่เขาแปลร่วมกับ ถาวร ชนะภัย จะแสดงให้เห็นว่า เขาให้ความสนใจและพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองฝั่ง แต่นวนิยายอย่าง “พลับพลามาลี” กลับประกาศชัดเจนว่าไม่เอาคอมมิวนิสต์ เขายังเชื่อว่า พวกที่ชอบเอ่ยอ้างอุดมการณ์ ลึก ๆ แล้วต่างทำเพื่อตัวเอง อีกทั้งคนกลุ่มนี้ยังมีแนวคิดล้มล้างสถาบัน

            “...คนที่เป็นคอมมิวนิสต์ จริง ๆ อาจจะเสแสร้งได้ร้อยสีพันอย่าง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเขามิอาจจะซ่อนเร้นได้คือความเกลียดชังกษัตริย์...” (หน้า 165)

            ผมอ่านหนังสือเล่มนี้โดยอดคิดไม่ได้ว่า สำหรับคนที่เห็นต่างคงโกรธ ไม่อาจทำใจยอมรับภาพร้าย ๆ ที่ผู้เขียนนำเสนอได้ แต่ผมกลับอ่าน “พลับพลามาลี” โดยมองในเชิงวรรณกรรมศึกษา ว่าสังคมไทยในช่วงสงครามเย็น ขณะที่ประเทศมหาอำนาจกำลังใช้สารพัดวิธีต่อสู้ฟาดฟัน นักคิดนักเขียนไทยได้สร้างงานที่สะท้อนสิ่งใดออกมาบ้าง แต่ละคนยืนอยู่จุดไหนบนเวทีวรรณกรรมเลือกข้าง ข้างซ้ายหรือข้างขวา ข้างหน้าหรือข้างหลัง

            นี่คือหลักฐานทางวรรณกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นจริงทางสังคม ในห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งซึ่งส่งผลสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน

 

วรรณกรรมการเมืองในแบบฉบับนิยายจารชน

            สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ นอกจากรัตนะ ยาวะประภาษ จะเป็นบรรณาธิการ นักเขียน และนักหนังสือพิมพ์แล้ว เขายังเป็นนักแปลที่มีผลงานหลากหลาย ตั้งแต่งานวรรณกรรมสะท้อนชีวิตอย่าง รวมเรื่องสั้น “เสน่ห์ชีวิต” ของซอมเมอร์เซ็ท มอห์ม ไปจนถึงเรื่องแนวจารชนอย่าง “เพชฌฆาต 007” ซึ่งแปลจาก From Rusia with Love ของเอียน เฟลมมิง       

            ถึงพูดได้ไม่เต็มปากว่า “พลับพลามาลี” ได้อิทธิพลมาจากงานต่างประเทศ แต่ขณะอ่านผมรู้สึกอย่างยิ่งถึงกลิ่นอายของเรื่องชุด “เจมส์ บอนด์ 007” แม้ตัวละครอย่างทรงไทย ทรงภูมิ จะไม่ได้ทำงานในองค์กรลับของรัฐบาล ไม่มีอภิสิทธิ์ฆ่าคนโดยไม่ต้องรับโทษ และไร้อุปกรณ์ไฮเทค ทว่าอดีตนักศึกษาหัวก้าวหน้าที่พลิกเปลี่ยนชีวิต หลังจากไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาทำงานในบริษัทจัดจำหน่ายรถอเมริกันสุดหรู ก็ร่วมมือกับตำรวจ ด้วยการแฝงตัวเข้าไปสืบความจริงในงานชุมนุมกลุ่มปัญญาชนซึ่งคิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย   

            น่าสนใจว่า ตัวละครอย่างเจมส์ บอนด์ ก็เป็นผลิตผลของสงครามเย็นเช่นกัน เขาคือตัวแทนเหล่าจารชนที่ปฏิบัติการลับอยู่ในประเทศต่าง ๆ เพียงแต่เอียน เฟลมมิง ได้ใส่สี ตีไข่ เพิ่มความดุเด็ดเผ็ดมัน จนเกินความเป็นจริงไปหลายเท่า ยิ่งหลังจากตัวละครนี้ไปโลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ วีรกรรมของเขายิ่งห่างไกลความเป็นจริง จนคนส่วนใหญ่นึกถึงแต่ในแง่ความสนุกสนาน ลืมนึกถึงเขาในฐานะตัวละครที่เป็นส่วนหนึ่งของยุคสงครามเย็น  

            นอกจากตัวละครเจมส์ บอนด์แล้ว องค์ประกอบอื่น ๆ ใน “พลับพลามาลี” ยังทำให้ผมเห็นภาพจากเรื่องชุด “เจมส์ บอนด์ 007” ซ้อนเข้ามาอยู่ตลอด อย่างตัวละครหญิง วรรณี อิทธิสุวรรโณ ซึ่งมีลักษณะเป็นนางเอกวายร้าย เช่นเดียวกับบรรดาสาวสวยแสนอันตราย ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ใน “เจมส์ บอนด์ 007” เพียงแต่วรรณี อิทธิสุวรรโณ ไม่ใช่อาวุธร้ายแรงใด ๆ อาวุธเดียวที่เธอใช้คือคำพูดอันแหลมคม ที่พร้อมจะฟาดฟันทุกคนที่เห็นต่าง เช่น การแสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน ทันทีที่เห็นรถอเมริกันของทรงไทย ทรงภูมิ เธอเรียกมันว่า “รถของพวกนักล่าอาณานิคมแผนใหม่” (หน้า 36)

            สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ รัตนะ ยาวะประภาษ สร้างตัวละครนี้ให้มีลักษณะย้อนแย้ง แทนที่จะเป็นคนที่ตะกายขึ้นมาจากชั้นล่างของสังคมอย่าง จันทา โนนดินแดง ใน “แลไปข้างหน้า” ของ ศรีบูรพา’ หรือ สาย สีมา ใน “ปีศาจ” ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ เธอกลับเป็นทายาทเศรษฐีใหญ่ในจังหวัดชายแดนใต้ ร่ำรวยและมีอิทธิพล การแสดงออกของเธอคล้ายตรงไปตรงมา ทว่าขณะเดียวกันกลับเหมือนมีลับลมคมใน ไม่อาจไว้วางใจได้ 

            อีกสิ่งที่วรรณี อิทธิสุวรรโณ เหมือนกับตัวละครหญิงใน “เจมส์ บอนด์ 007” ก็คือความสาว ความสวย และเสน่ห์เกินห้ามใจ แม้ไม่จบลงบนเตียงตามสูตรเจมส์ บอนด์ แต่เมื่อพระเอกนางเองอยู่กันตามลำพัง ดีกรีความร้อนแรงก็ขึ้นไปจนเกือบขีดสุด

            “...คนทั้งสองกำลังพยายามหนีตัวเองออกจากอารมณ์เพศที่กำลังร้อนระอุเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด แต่นรกเท่านั้นที่หยั่งรู้ล่วงหน้าว่าหล่อนและเขาจะทำกันได้แค่ไหน...” (หน้า 274 – 275)

            ไม่แต่พระเอกนางเอกเท่านั้น ตัวร้ายสุดของเรื่องอย่างสุนทร บุญญาประกาศิต ก็ดูไม่ต่างจากหัวหน้าองค์กรอาชญากรรมใน “เจมส์ บอนด์ 007” เขาทั้งฉลาด อดทน และมีแผนการอันแยบยล ในแบบที่ รัตนะ ยาวะประภาษ เปรียบเทียบให้เราเห็นภาพว่า “...ทนายความผู้ชาญฉลาดเยี่ยงพรานเบ็ด...” (หน้า 314) ตัวละครนี้เป็นเหมือนพรานเบ็ด ส่วนปลาที่เขาหลอกล่อให้มาติดเบ็ดก็คือ คนหนุ่มสาวที่หลงเชื่อตามอุบายที่เขาวางไว้  

            “...ในขณะที่ใช้ความอดทนมองดูความพินาศของสังคมเก่า เราจะต้องพยายามสร้างกลุ่มของสังคมใหม่ซ้อนเข้าไป คุณจะต้องจับกลุ่มคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยของคุณให้ได้ คนหัวใหม่ที่มีการศึกษานี้แหละที่จะมาช่วยสร้างเมืองในฝันของเราให้เป็นจริงขึ้นมาได้ในอนาคต...” (หน้า 316)

            นวนิยายอย่าง “พลับพลามาลี” อาจไม่มีฉากบู๊ระห่ำ ฉากต่อสู้หลบหนีสุดระทึก หรือฉากการทำลายล้างวินาศสันตะโร แต่สิ่งที่มาทดแทนก็คือ บทสนทนาห้ำหั่นกัน ต่างฝ่ายต่างปักหลักสู้แบบไม่มีใครยอมถอย เช่นเดียวกับในโลกความจริง ที่นักคิด นักเขียน นักต่อสู้ทั้งหลาย ต่างยึดมั่นในแนวความคิดของตัวเอง

            ไม่มีอะไรต้องสงสัย รัตนะ ยาวะประภาษ ย่อมเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น และเขาได้ส่งต่อความคิดของเขาให้แก่ทรงไทย ทรงภูมิ ตัวละครผู้เปรียบเสมือนตัวตายตัวแทน    

            “...ผมใฝ่หายูโตเปีย ใฝ่หาเมืองพระศรีอาริย์ ใฝ่หาพลับพลามาลีของผมและของคนทั้งโลกมาจนอายุจะย่างเข้าครึ่งคนอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นเมืองที่ว่าเลย ผมเห็นความจริงว่าทุกคนใฝ่ดีกันทั้งนั้น ทุกคนอยากสบายด้วยกันทั้งนั้น และทุกคนต้องการอยู่ปราสาทราชวังกันทั้งนั้น แต่ว่าทุกคนก็อยากให้ตัวเองเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นด้วย ไม่มีใครเลยที่อยากมีฐานะเท่าเทียมกับผู้อื่น กินอยู่หลับนอนเหมือนผู้อื่น เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต่างก็สวมหน้ากากเข้าหลอกลวงกัน และพอได้โอกาสก็จ้วงแทงกันลับหลัง เพื่อที่ตนเองจะได้เป็นผู้ที่มีโอกาสดีกว่า เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะเหนือกว่า ตลอดจนเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่าผู้อื่น...” (หน้า 372)

            เรื่องราวจบลงไม่ต่างจากเรื่องชุด “เจมส์ บอนด์ 007” ที่ไม่ว่าพระเอกจะจัดการผู้ร้ายไปสักกี่ราย ก็จะมีผู้ร้ายหน้าใหม่โผล่มาเสมอ การสู้ไม่เคยสิ้นสุด ไม่ต่างจากสงครามการเมืองระหว่างประเทศ ที่เหล่ามหาอำนาจไม่เคยวางใจ และเปลี่ยนสายตาที่มองอีกฝ่ายเป็นปีศาจผู้ชั่วร้าย

            เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่สังคมไทยต้องการก็คือ คนอย่างทรงไทย ทรงภูมิ ที่ตาสว่างมองเห็นความจริง เห็นชัดว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู และปรารถนาที่จะเห็นคนหนุ่มสาวก้าวไปบนเส้นทางอันถูกต้อง ไม่หลงกลศัตรูที่ซ่อนตัวมาภายใต้หน้ากากแห่งมิตร

            รัตนะ ยาวะประภาษ และกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกันทำสำเร็จหรือไม่ เหตุการณ์ต่าง ๆ บนหน้าประวัติศาสตร์คงเป็นคำตอบได้อย่างดี อีกหนึ่งคำตอบที่คู่กันมาคือ การที่นวนิยายอย่าง “พลับพลามาลี” ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร จนสุดท้ายกลายเป็นวรรณกรรมที่ถูกหลงลืมไป แสดงให้เห็นว่า สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว แนวคิดเชิงอนุรักษ์นิยมอาจไม่เหมาะสำหรับยุคสมัยของพวกเขา        

   

เมือง(ไทย)ในฝัน(หวาน) ความจริงของความจริงของความจริง หรือไม่มีอะไรจริง ?

            เวลามองกระจกเราเห็นอะไร ความจริงที่แท้จริงหรือความจริงที่กลับด้าน ซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย แล้วกระจกอย่างวรรณกรรมล่ะ สะท้อนความจริงชนิดไหน ? 

            สำหรับวรรณกรรมการเมือง คงไม่แต่นักเขียนเท่านั้นที่เลือกข้าง คนอ่านก็เลือกข้างเช่นกัน เราแยกกองหนังสือตามความเชื่อ ให้คะแนนโดยมาตรวัดส่วนตัว ตัดสินว่าความจริงแบบไหนที่ ‘จริง’ จริง ๆ ในทัศนะของเรา

            ในกรณีของ “พลับพลามาลี” สิ่งที่รัตนะ ยาวะประภาษ เขียนคือความจริงตามแบบของเขา เช่นเดียวกับชุดความจริงอื่น ๆ ซึ่งนักเขียนท่านอื่นได้เคยนำเสนอไว้ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ ความคิดที่ว่า เมืองในฝันไม่เคยมีอยู่จริง สิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่การสร้างเมืองใหม่ แต่คือการช่วยกันทำเมืองที่มีอยู่ให้ดีงามยิ่งขึ้น ก็จะยังคงอยู่ต่อไป

            ครั้งหนึ่งผมเคยอ่านนวนิยายเรื่องหนึ่งแล้วโกรธ ถึงขนาดโยนทิ้งลงถังขยะไป ด้วยไม่อยากเห็นหนังสือเล่มนั้นอีก แต่สำหรับ “พลับพลามาลี” หลังอ่านจบผมเก็บมันกลับเข้าชั้นหนังสือ อาจเพราะผมไม่ใช่นักอ่านเจ้าอารมณ์คนเดิมแล้ว

            ไม่ว่าผมจะคิดเห็นอย่างไรต่อสิ่งต่าง ๆ ที่นักเขียนเขียนไว้ เชื่อมันหรือไม่ รักหรือเกลียด มันก็ยังคงมีคุณค่าในตัวเอง

อย่างน้อยก็ในฐานะหนึ่งในชุดความคิดที่เคยมีอยู่จริง.

 

......................

หมายเหตุ บทวิจารณ์นี้เขียนโดยอ้างอิงนวนิยาย “พลับพลามาลี” ของ รัตนะ ยาวะประภาษฉบับสำนักพิมพ์ราชาวดีกรุงเทพฯ, พิมพ์ครั้งที่ 3, 2536 (สำนักพิมพ์แจ้งในข้อมูลทางบรรณานุกรมว่าพิมพ์ครั้งที่ 2 แต่จากการตรวจสอบพบว่า เคยพิมพ์มาก่อนหน้านี้แล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น เมื่อปี พ.ศ. 2514 และ 2517), จำนวน 380 หน้า

Visitors: 98,927