ปกรณัมความปวกเปียก : ว่าด้วยความเป็นชายของผู้บ่าวไทบ้าน

ชัยรัตน์ พลมุข

 

 

          เด็กหนุ่มนอนเกลือกโคลนกลางทุ่งนาหน้าแล้งอย่างไม่อนาทร แววตาเศร้าเหม่อลอยไร้จุดหมาย อีกครั้งหนึ่งตาโศกคู่เดียวกันนี้พาเขาและจักรยานคู่ใจเสียหลักลงคลองข้างทาง มีความไม่ใส่ใจไยดีอยู่ในวิธีที่เขาปฏิบัติต่อชีวิต ราวกับว่าโลกนี้ไม่เหลือสิ่งใดที่จะช่วยปลอบประโลมเขาได้ และเขาก็จมปลักทั้งในความหมายตรงและโดยนัย 

          นี่เป็นอาการของคนอกหักอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ชวนเวทนาและชวนหัวเป็นพิเศษคือการแสดงออกอย่างฟูมฟาย หัวฟัดหัวเหวี่ยง พ่ายแพ้ ทุรนทุราย และเสียสติ (ดูภาพเคลื่อนไหวประกอบได้ในมิวสิกวิดีโอ เพลง “แรกตั้งใจฮัก” ของปรีชา ปัดภัย และเพลง “ขอบใจเด้อ” ของศาล สานศิลป์) เขาคือหนึ่งในหลาย ๆ ตัวละครชายในภาพยนตร์ชุดไทบ้าน ซึ่งขยายใหญ่จนกลายเป็น “จักรวาลไทบ้าน” เมื่อไม่นานมานี้ และในจักรวาลที่ว่า น้ำตาของผู้บ่าวไทบ้านได้กลายเป็นทั้งภาพจำและกระแสถกเถียง (แม้ว่าการถกเถียงจะเป็นเรื่องสมณเพศมากกว่าบุรุษเพศ แต่ทั้งสองเรื่องดูจะพันกันอยู่ไม่น้อย) รวมถึงกระตุ้นให้มีนักวิชาการหันมามองและเขียนถึงเรื่องความเป็นชายของผู้บ่าวไทบ้านบ้างประปราย

          ความปวกเปียก (หากเราปลงใจจะใช้คำนี้) ของผู้บ่าวไทบ้านติดค้างอยู่ในใจของผู้วิจารณ์ในฐานะแฟนเพลงจักรวาลไทบ้านและในฐานะคนที่สนใจเรื่องอารมณ์ความรู้สึก กระนั้นก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้กระจ่างว่าความเป็นชายที่แสน sentimental และไร้น้ำยานี้มีที่มาอย่างไร และทำให้มองเห็นอะไรบ้างเกี่ยวกับสุนทรียะแบบไทบ้านกับอัตลักษณ์ความเป็นอีสาน ดังนั้น เมื่อได้อ่าน ปกรณัมความปวกเปียกผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มล่าสุดของ ภู กระดาษ จบลง คำถามเหล่านี้ก็วนกลับมาในความคิดคำนึงอีกครั้ง

          ในเรื่องสั้น “ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ” (คำโปรยบนหน้าปก) เหล่านี้ เราจะเห็นการหยิบยกเรื่องเล่า ตำนาน นิทาน ทั้งท้องถิ่นและสากล มาเล่าใหม่เพื่อก่อกวนประวัติศาสตร์การเมืองไทย อันเป็นลายเซ็นของภู กระดาษ ที่หลายคนคุ้นเคย แต่ที่โดดเด่นไม่แพ้กันก็คือบรรดาตัวละครชายมากหน้าหลายตาที่ชวนให้ผู้อ่านขบคิดเกี่ยวกับมุมมองที่พวกเขามีต่อผู้หญิง เพศ ความปรารถนา ผี  งูสิง  และไข่ต้ม  พวกเขาเหล่านี้มีทั้งที่เราอาจเรียกว่าผู้บ่าวไทบ้านได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หากตัดสินจากการปากเว้า ฉากท้องเรื่อง และวิถีชีวิต อีกส่วนหนึ่งแม้สุ้มเสียงของความเป็นพื้นถิ่นแผ่วเบา แต่เมื่อถูกร้อยเรียงเข้ากับเรื่องอื่น ๆ เสียแล้วก็ตกกระไดพลอยโจนเข้าในวงของการตีความ (หรืออำเภอใจ) ของผู้วิจารณ์ไปด้วย (ถึงที่สุดแล้วปัญหานี้พัวพันกับคำถามที่ใหญ่กว่าว่าเราสามารถอ่านงานของ ภู กระดาษ โดยก้าวพ้นประเด็นเรื่องอีสานได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่ใช่เป็นคำถามสำคัญของบทความนี้)

          จะว่าไป คงไม่มีอะไรไทบ้านมากไปกว่าการนำผญาภาษิตลาว-อีสานมาตั้งเป็นชื่อเรื่องสั้นอย่างเรื่อง “ความฮักมากุ้มคือสุ่มมางุมหัว” ซึ่งเนื้อเรื่องชวนให้นึกถึงภาพความเป็นชายในจักรวาลไทบ้านมากที่สุด และจุดประกายให้แก่บทความนี้

          เขา–ชายหนุ่มรูปร่าง “สูงใหญ่ ร่างกายบึกบึน หน้าตาจัดว่าดุดันอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้าน”–ได้เจอกับเด็กหนุ่มระหว่างที่เขาต้อนวัวกลับคอก พร้อมกับงูสิงเสื่อ (อีกชื่อหนึ่งคืองูสิงหางลาย หรือหรูหน่อยก็เรียก Ptyas mucosus) ที่เขาจับได้ในบ่ายวันเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มขอซื้องูสิงเสื่อไปปล่อย แต่พบว่างูสิงตายเสียแล้ว เรื่องตอนต้นจบลงที่ผู้บ่าวไทบ้านทั้งสองกินคั่วงูสิงแกล้มเหล้าขาวด้วยกันในยามเย็นอันแสนสามัญและแปลกประหลาดในคราวเดียวกันนั้น (น.314-316)

          วิชาจิตวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน (และอาจจะกำมะลอด้วย ค่าที่ฟังเขาว่าต่อ ๆ กันมา) สอนให้เรามองงูเป็นลึงค์ ซึ่งก็ไม่เลวเลยสำหรับกรณีนี้ เพราะเรื่องก็ปูให้เราเข้าใจเช่นนั้น งูสิงที่ไร้พิษสงแถมตายตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่ต่างกับความเป็นชายอันปวกเปียก หรือภาษาจิตวิเคราะห์อาจเรียกว่าการถูกตอน (castration) ของผู้บ่าวไทบ้านทั้งสอง กล่าวคือ คนหนึ่งสูงใหญ่บึกบึน ทว่า “เขาก็เป็นคนที่เกรงใจเมียเสียยิ่งกว่าพระสงฆ์เกรงใจสีกานั่นเสียอีก เขาดื่มเหล้าจัดตามกำลังที่ใช้ไปในงานนา ในป่าอ้อย หรือตามงานก่อสร้าง แต่ถ้าเมียปรากฏกายขึ้นอยู่ในระยะทำการของแข้ง เขาจะหยุดในทันที เพื่อเมีย บ่มีอะไรที่เขาทำบ่ได้ ทำบ่ไหว ทำบ่ทัน” (น.314-315) ส่วนเด็กหนุ่มเพื่อนบ้านของเขาก็ “กำลังซึมเศร้าอย่างหนักเนื่องจากเมียของเขาหนีตามผู้ชายไปหลังจากที่เขาไปเป็นทหารได้เพียงสองเดือน […] เมื่อมาถึงบ้านเขาก็โศกเศร้า ดื่มเหล้าเมาบักแปดแสนมานับตั้งแต่วันนั้น” (น.315)  

          ดังนั้น การร่วมวงกินงูสิงจึงมีนัยของการช่วยกันเลียแผลความเป็นชายที่กำลังช้ำเลือดช้ำหนองเต็มที่ ก่อนจะแยกย้าย ชายหนุ่มปลอบประโลมเด็กหนุ่มที่ถูกแม่ไล่ไปผูกคอตายเพราะเอาแต่กินเหล้าเมามายตลอดสัปดาห์ เด็กหนุ่มรับคำแต่ไม่ปฏิบัติตาม วันต่อมาเขาพยายามฆ่าตัวตายตามวิธีการในคำดุด่า (จ่ม) ของแม่ แต่น้องสาวมาช่วยไว้ทัน เรื่องกลับตาลปัตร เป็นชายหนุ่มที่คร่าชีวิตตนเองใต้ต้นมะขามใหญ่ข้างกำแพงวัดด้วยเชือกผูกวัวเส้นหนึ่ง หลังจากมีปากเสียงกับภรรยาและถูกไล่ให้ไปผูกคอตายทำนองเดียวกับเด็กหนุ่ม

          ก่อนจะตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง ชายหนุ่มถูกผีงูสิงเสื่อตามหลอกหลอน “มันเลื้อยเข้ามาหาเขาทุกครั้งที่หันหลังให้ และหายไปทุกครั้งที่เขาหันไปประจันหน้า มันตามเขากลับเข้ามาจนถึงในหมู่บ้านก็ยังมิทุเลาลง และคำพูดของเมียเขาก็ทิ่มแทงทุกบาทย่างก้าวเช่นกัน” (น.318) เป็นที่แน่นอนแล้วว่า พิษบาดแผลของความเป็นชายที่เขาพยายามจะกลืนมันเข้าไป ท้ายที่สุดไม่ยอมหายไปไหน แต่กลายเป็นผีตามมาหลอกหลอนไม่จบสิ้น เด็กหนุ่มที่มาร่วมงานศพและเฝ้าศพเขาตลอดสามคืน ตัดสินใจแน่วแน่ว่าเขาจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับเชือกเส้นนั้น ซึ่งผู้อ่านเดาต่อได้ไม่ยากนัก แล้วเรื่องก็จบลง

          ความตั้งใจของเด็กหนุ่มที่จะตายตามชายหนุ่มด้วยเชือกเส้นเดียวกัน ชวนให้คิดไปได้หลายทาง ทางหนึ่งคือเน้นย้ำบาดแผลและความเปราะบางในฐานะประสบการณ์ร่วมของชายทั้งสองคน พวกเขาผูกพันลึกซึ้งด้วยบาดแผลชนิดเดียวกัน แม้ว่าตายไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ “ออกจากโลงมานั่งเป็นเพื่อนเด็กหนุ่มเช่นกัน ทั้งคู่จะนั่งกอดคอกันอยู่เช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน” (น.319) รูปทรงของเชือกที่คล้ายกับงูยังชวนให้ฟุ้งไปต่อได้ว่าความตายของพวกเขาเป็นความตายเชิงสัญลักษณ์ เป็นงานไว้ทุกข์ให้แก่ความเป็นชาย ในอีกทางหนึ่ง โศกนาฏกรรมอันถูกขยายใหญ่และฟูมฟายล้นเกินนี้ก็ยั้งอารมณ์เห็นอกเห็นใจอยู่ในที  เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มในจักรวาลไทบ้านที่ตกอยู่ในภวังค์รักอย่างหน้ามืดตามัวเหมือนมีสุ่มมางุมหัว น้ำตาของผู้บ่าวไทบ้านในเรื่องสั้นเรื่องนี้ชวนให้เวทนาและชวนหัวพอกัน ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความน่าเห็นใจกับการยั่วล้อ และด้วยความกำกวมเช่นนี้เอง ภู กระดาษ ได้ทำให้ความปวกเปียกมีความหมายพิเศษขึ้นมาในเรื่องสั้นชุดนี้ โดยเฉพาะในแง่มุมที่เชื่อมโยงกับเพศ 

          ในเรื่องสั้นชื่อล่อแหลมอย่าง “เห็นเธอแล้วอยากขมขื่น” คำสารภาพอันปวกเปียกของผู้เล่าเรื่องซึ่งใช้บุรุษสรรพนาม “ผม” (พร้อมระบุด้วยว่าเป็น “คนลาวฝั่งขวา” แม่น้ำโขง แม้ว่าความเป็นผู้บ่าวไทบ้านในเรื่องจะไม่มีนัยสำคัญอันใดนัก) ค่อย ๆ เผยให้เห็นความน่ากระอักกระอ่วนของการบอกเล่าความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงผ่านปากคำของผู้ชาย เริ่มตั้งแต่ประโยคเปิดเรื่องที่ว่า “หนึ่งสัปดาห์ก่อนใช่ไหมที่เธอแขวนคอตาย หรือว่าห้าหกวันที่ผ่านมา” ซึ่งล้อประโยคเปิดนวนิยาย คนนอก ของอัลแบรต์ กามูส์ (“วันนี้สินะที่แม่ตาย หรือว่าเมื่อวานนี้ ฉันก็ไม่รู้แน่”) และทำให้เราเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเรื่องที่จะได้ฟัง

          ด้วยท่าทีอิดออดและลังเลเช่นนั้น  “ผม” ได้เริ่มเล่าเรื่องสองเรื่องซึ่งกลายเป็นเรื่องเดียวกันในที่สุด เรื่องแรกคือการตายของเด็กสาวชาวแคนาดา ซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังถูกเพื่อนชายรุมข่มขืน และตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมในที่สุด ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องของ “นังดี” หญิงพิการในหมู่บ้าน ที่ถูกสัปเหร่อและชายในหมู่บ้านล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องแรกมาจากข่าวสะเทือนขวัญของเด็กสาวนาม Rehtaeh Parsons ส่วนเรื่องที่สองมีสถานะเป็นเรื่องแต่ง ซึ่งถูกผูกเข้าด้วยกันในคำบอกเล่าของ “ผม” ที่ตั้งใจจะไปถาม “นังดี” ว่าอยากไปร่วมงานศพของเด็กสาวชาวแคนาดาหรือไม่  

          ความน่ากระอักกระอ่วนของเรื่องสั้นเรื่องนี้  ส่วนหนึ่งมาจากคำบรรยายฉากการล่วงละเมิดทางเพศที่เฉียดใกล้เรื่องปลุกกำหนัด–ใกล้เสียจนทำให้อดตั้งคำถามต่อจริยธรรมของการนำเสนอความรุนแรงทางเพศของตัวบทไม่ได้–แต่อีกส่วนหนึ่ง คือท่าทีของผู้เล่าเรื่อง เราพบคำว่า “ผมลืม” และ “ผมเดาว่า” ตลอดเรื่องเล่าของเขา ความหลงลืมและการเดาส่งเช่นนี้อาจมองว่าเป็นเครื่องมือที่ย้อนกลับไปวิพากษ์/รื้อ วิธีถ่ายทอดความรุนแรงทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อไม่ใส่ใจจะจดจำเพราะเห็นว่า “ถ้าคนเราลืมโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองลืมน่าจะมีความสุขที่สุด” (น.126) เข้าทำนอง “Ignorance is bliss” เสียแล้ว สิ่งที่เข้ามาถมเติมความจริงก็คือแฟนตาซีราคาถูกของผู้ชาย ซึ่งทำให้เราก็ไม่อาจคาดหวังความเป็นธรรมทางวรรณศิลป์จากปากคำของชายผู้เล่าเรื่องได้

          ความปวกเปียกในที่นี้จึงพูดถึงจุดยืนทางจริยธรรมอันง่อนแง่น ในการรับรู้ จดจำ และบอกเล่า ประสบการณ์ความรุนแรงทางเพศที่เกิดแก่ผู้หญิง ตลอดจนความล้มเหลวที่จะร่วมขมขื่นไปกับความเจ็บปวดและความตายของหญิงเหล่านั้น ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงหรือจินตนาการก็ตาม

          เรื่องที่พูดคล้าย ๆ กัน แต่ด้วยวิธีการที่หลุดโลกราวกับบทละครแปลกวิสัยคือเรื่องสั้น “ไข่ต้ม” ซึ่งเล่าผ่านบทสนทนาของสามีภรรยาคู่หนึ่งในฉากสงครามกลางเมืองปี 2019 ความฝืดเคืองทำให้ไข่ต้มที่ภรรยาตระเตรียมไว้เป็นมื้อเย็นที่ดีที่สุดของพวกเขา ระหว่างจ้องมองไข่ต้มอยู่นิ่งนาน สามีได้ถามขึ้นว่า “เห็นไข่ต้มแล้วนึกถึงอะไร”  

          คำตอบอันยืดยาวของภรรยาคือประวัติศาสตร์กึ่งจริงกึ่งแต่งขนาดย่อมเกี่ยวกับการกดขี่ของรัฐในสมัยสงครามเย็นหรือยุค “พัฒนา” ซึ่งมีการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง และการทุจริตฉ้อโกงนานา วันหนึ่งเธอได้ไข่เต่าสิบฟองมาต้มกินอย่างอิ่มหนำจนข่าวไปถึงหูเจ้าหน้าที่รัฐ บ้านเธอถูกรื้อค้น พ่อถูกยิงเสียชีวิต และเธอถูกขืนใจ นับแต่นั้นเธอจึงเลิกกินไข่ทุกชนิด เมื่อเธอถามเขากลับว่า “คุณล่ะ คุณนึกถึงเรื่องอะไรเมื่อเห็นไข่ต้มแล้ว” คำตอบที่ได้คือความทรงจำของเขาเกี่ยวกับฉากรักในหนังเรื่อง L’Empire des sens ที่มีการใช้ไข่ต้มระหว่างร่วมรัก จนทำให้เขาตัดสินใจไม่กินไข่ต้มแต่นั้นมา เรื่องราวของหญิงและชายถูกนำมาเล่าเทียบเคียงกัน เรื่องหนึ่งชวนหดหู่  อีกเรื่องชวนคลื่นเหียน เรื่องหนึ่งบอกเล่าบาดแผลฝังจำของผู้หญิงอันเกิดจากความรุนแรงทางเพศและการเมือง อีกเรื่องบอกเล่าแฟนตาซีทางเพศของผู้ชาย และผู้อ่านก็ถูกเชื้อเชิญให้ชั่งน้ำหนักของเหตุผลในการไม่กินไข่ของทั้งคู่

          เรื่องสั้นที่เกี่ยวกับการกิน (หรือพูดให้ถูกคือการอด) อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง “หิว” ซึ่งเน้นความหมายเชิงสัญลักษณ์ของความปวกเปียกไปในอีกทิศทางหนึ่ง เรื่องราวที่ดูไม่เดินหน้าไปไหนของคนตัดหญ้าในไร่ยูคาลิปตัสที่โดดเดี่ยว และกำลังอ่อนแรงเพราะอดอาหาร มีเพียงผีพรายสาวที่คอยมารบกวนและยั่วยวนเขาเพราะหวังเอาชีวิต ส่วนข้างนอกนั้นมีเพลงมาร์ชทหารที่เปิดวนไปมาเป็นเวลาหลายสิบปี วันหนึ่งขณะที่เพลงมาร์ชทหารกำลังบรรเลงแข่งกับเสียงสรรพสัตว์ ชายชรารูปร่างหน้าตาพิลึกมาเยือนเขาพร้อมทักทายว่า “สวัสดีท้าว เป็นอย่างไร สบายดีบ่ บ่ต้องตกใจ เฮามาดี” (น.66)

          ชายเฒ่าผู้นี้คือตัวละครจากเรื่องสั้น “The End” (La fin) ของ Samuel Beckett ซึ่งชายตัดหญ้ากำลังอ่าน เรื่องราวของชายชราที่ถูกปล่อยตัวจากสถานบำบัดจิต ระหกระเหินไปตามเมืองและชนบท พบทั้งคนใจดีและใจดำ ก่อนจะจบลงด้วยการใคร่ครวญถึงชีวิตและความตาย ในภาวะกึ่งจริงกึ่งฝันนั้น ตัวละครผู้เล่าเรื่องของภู กระดาษ ตระหนักว่าตนเองก็มีสภาพไม่ต่างกับชายผู้นี้นัก คือโหยหิว โดดเดี่ยว และอ่อนล้าเต็มที 

          สหบทเรียกร้องการตีความหลายชั้น แต่เราจะเลือกสนใจเฉพาะสภาวะปวกเปียกอ่อนล้าที่ตัวบทย้ำให้เห็นเป็นพิเศษ ตั้งแต่การไม่ตอบสนองต่อผีพรายที่มายั่วยวน ซึ่งดูจะเน้นความเป็นชายอันปวกเปียก/ถูกคุกคาม จนถึงการอ้างถึงเรื่องสั้นของ Beckett ที่ชวนให้นึกถึงบทความของ Gilles Deleuze เรื่องผู้อ่อนแรง (the exhausted/l’épuisé) ในบทละครของ Beckett  สำหรับ Deleuze ตัวละครผู้อ่อนแรงซึ่งโดดเด่นมากในงานของ Beckett แสดงให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่น่าสนใจ กล่าวคือ ในภาวะสิ้นแรงซึ่งดูเฉื่อยชานั้น ตัวละครของเขามักค้นพบ หรือทดลองเล่นกับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ความเป็นไปได้ที่ว่านี้ไม่ใช่การบันดาลให้เกิดอะไรขึ้น หากแต่เป็นการค้นพบทางออกที่ไม่คาดคิดหรือพลังบางอย่างขณะที่ติดอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง เป็นอัมพาต และเรื่อยเฉื่อย  

          ในกรณีของเรื่อง “หิว” ของภู กระดาษ การติดอยู่กับผีพรายและชายชราในกระท่อมกลางป่ายูคาลิปตัส เป็นภาพตรงข้ามกับเสียงเพลงมาร์ชของทหารนอกกระท่อมที่ยัง “เข้มข้นเข็มแข็งไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย” (น.68) เป็นความปวกเปียกที่ทำให้ตระหนักถึงการอยู่ตกใต้อำนาจ และการพยายามหลีกลี้จากอำนาจในภาวะที่ทุกอย่าง (เป็นต้นว่าสำนึกและการต่อสู้ทางการเมือง) หยุดชะงักหรือถูกทำให้อ่อนแรงลง 

          เช่นเดียวกับเพลงมาร์ชทหารที่ “เข้มข้นเข้มแข็ง” ความหมายเชิงสัญญะของภาวะปึ๋งปั๋งซึ่งตรงข้ามกับความปวกเปียกมักเชื่อมโยงกับอำนาจที่ใหญ่กว่า ตัวอย่างเช่นเรื่องสั้น  “ตลอดศก” ที่เล่าเรื่องชายผู้มีอำนาจใน “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ระหว่างเดินทางไปหาคนรัก พร้อมกับอวัยวะเพศที่ “แข็งเกร็ง หงึกหงัก ผึงผัง” (น.278) ตลอดเส้นทาง เขาพบผู้คนที่แสดงความเคารพเชิดชู กองทหารที่ตั้งค่ายป้อมรักษาความสงบเรียบร้อยแทบทุกตารางนิ้ว และเสียงสวดมนต์ที่ดังก้องไปทั่วแผ่นดิน  เมื่อพบกับคนรัก เขาก็ลงมือบรรเลงเพลงรักอย่างเร่าร้อน “เป็นร้อย ๆ ปีต่อมาโดยไม่สนใจต่อข้าวน้ำท่ามปลาหรืออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น” (น.279) เห็นได้ว่า พลังทางเพศของเขาเป็นส่วนขยายของอำนาจทางการเมืองการปกครอง (หรือไม่ก็กลับกัน)

          ในบทบรรณาธิการของรวมเรื่องสั้น ปกรณัมความปวกเปียก มีความพยายามที่จะอธิบายความปวกเปียกเป็นสองประเด็นหลัก ๆ แง่มุมแรกว่าด้วยภาษาและวรรณกรรม คือมองว่ากรอบความคิดเรื่องวรรณกรรมและภาษาวรรณศิลป์ในบริบทสังคมไทยมีกฎเกณฑ์ตายตัวและมีเพดานความคิด เป็นความคับแคบทางจินตนาการที่ห่มคลุมด้วยพิธีรีตองทางวรรณศิลป์ (น.375) ดังนั้น การใช้คำว่า “ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ” เรียกงานของภู กระดาษ จึงจงใจยั่วล้อกับความปวกเปียกดังกล่าว ส่วนแง่มุมต่อมาเป็นเรื่องสังคมการเมือง ซึ่งอยู่ในภาวะ “ง่อยเปลี้ย” (น.378) ทั้งหมดนี้ทำให้บรรณาธิการแปลคำว่า “ปวกเปียก” ในชื่อเรื่องด้วยคำภาษาอังกฤษว่า “perpetual paralysis” คือเป็นความปวกเปียกที่สืบเนื่องต่อมาและดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

          แม้ว่าบทบรรณาธิการจะให้แนวทางการตีความเรื่องสั้นที่กระจัดกระจายเหล่านี้เอาไว้ บทวิจารณ์นี้ไม่ได้เริ่มต้นจากคำถามเกี่ยวกับคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ หรือวิกฤตการเมือง แต่เริ่มต้นจากความปวกเปียกในความหมายธรรมดาสามัญกว่านั้น คือความหมายทางเพศซึ่งเป็นเรื่องเนื้อหนังมังสา ระหว่างการอ่าน ความปวกเปียกขยับเคลื่อนจากเรื่องเพศไปสู่สิ่งอื่น แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง สำหรับภู กระดาษ การเมืองคือเรื่องเพศ ซึ่งพัวพันอยู่กับความปรารถนา เรือนร่าง แรงขับของสัญชาตญาณ และจิตใต้สำนึก ในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ การขบคิดเรื่องเพศมีมิติเรื่องการเมืองเพศสถานะ คือความเป็นชายและความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชายหญิงเข้ามาเป็นประเด็นสำคัญ

          ถึงที่สุดแล้ว เราไม่อาจยืนยันได้ว่าความปวกเปียกในเรื่องสั้นชุดนี้ เป็นความปวกเปียกเดียวกับภาพผู้บ่าวในจักรวาลไทบ้านหรือไม่ (เพราะแม้กระทั่งความเป็นผู้บ่าวไทบ้านก็หลากหลายและขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง) แต่ผู้วิจารณ์อยากเสนอว่า ปกรณัมความปวกเปียก ของภู กระดาษ แสดงให้เห็นสปิริตแบบอัตวิพากษ์ คือการยั่วล้อความปวกเปียกของตนเอง ไม่ว่า “ตนเอง” ที่ว่านี้จะหมายถึงความเป็นอีสาน (ไทบ้าน) ความเป็นผู้บ่าว หรือความเป็นผู้บ่าวไทบ้าน

         

 

 

Visitors: 96,316