ประเทศในเขาวงกตและบริบทอื่น ๆ : ค้นความทรงจำดำมืดของหน้าประวัติศาสตร์และสังคม
พัทธนันท์ ทองแวว
ที่ใดมีสังคมที่นั่นย่อมมีกฎหมายพ่วงมาพร้อมกับระบอบการเมืองการปกครอง ระบบเศรษฐกิจและอื่น ๆ ของสังคมคมนั้น ๆ ในประเทศไทยเราก็คงจะทราบกันดีว่าสังคมเราเป็นอย่างไรสถานการณ์มากมายที่เกิดขึ้นสามารถเห็นได้ผ่านหน้าจอโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ของท่าน ทั้งความเรืองรองของสังคมและจุดด่างดำจากความขัดแย้งที่โดยมากแล้วพยายามปกปิด กลบเกลื่อนให้เลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ความซับซ้อนสับสน อำนาจของคนและเงินแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าประวัติศาสตร์การเมืองนั้น ล้วนแล้วแต่วนกลับมาซ้ำรอยเดิมเสมอเช่นเขาวงกตเดิม ๆ เพิ่มเพียงแค่เลขพุทธศักราชก็เท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงควรให้ความสนใจกับเรื่องราวในอดีตแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพูดถึงก็ตามที
หนังสือเรื่อง “ประเทศในเขาวงกตและบริบทอื่น ๆ” ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ (2565) เป็นหนังสือที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นบันทึกชั้นดีของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในสังคม มิใช่เฉพาะในส่วนของดินแดนไทย แต่ยังลัดเลาะไปตามรัฐเพื่อนบ้านของเรา บางช่วงผู้เขียนยังได้แวะไปเยี่ยมเยือนแถบจีนและอเมริกา เป็นครั้งคราวผ่านการกล่าวถึงในบทกวี เช่น “จีนกำลังยึดครองสมองและกระเพาะของเรา อเมริกาพยายามรักษาต้นแบบตลกคาเฟ่” (น.140)เศษเสี้ยวของเรื่องราวเหล่านั้นแทรกซึมอยู่ในกวีนิพนธ์ทุก ๆ บทจากหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นไปทางการกล่าวถึงการเมืองเป็นหลัก หากใครได้ลองอ่านจะสัมผัสได้ทันทีว่าถ้อยคำของผู้เขียนนั้นทั้งคมคายและคมกริบ แน่ล่ะว่าการพูดถึงการเมืองนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจนอาจจะมีผู้คนที่โดนความคมของถ้อยคำบาดเข้าจนอยากจะปิดหนังสือเสียเดี๋ยวนั้น แต่ถ้าหากท่านลองเปิดใจ ปลดเปลื้องอุดมการณ์ที่แตกต่าง แล้วค่อยๆเดินทางเข้าไปจนถึงแก่นที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอก็จะพบว่ากวีนิพนธ์เล่มนี้ “เหมือนอารมณ์ของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป” (น.9) เป็นบันทึกที่จะทำให้ผู้อ่านได้มีจังหวะที่ต้องหยุดชะงักเพื่อครุ่นคิดและตกผลึกได้ถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราอาจเคยมองข้ามหรือหลงลืมไปได้อย่างไร้ที่ติ ดังที่ผู้เขียนได้ระบุไว้ในคำนำ
“ประเทศในเขาวงกตและบริบทอื่น ๆ ” จึงถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ หวังเชิญชวนให้พวกเราลอง ครุ่นครวญ หาหนทางเลาะลัดออกมาจากเขาวงกตแต่ละแบบ แต่ละเบ้า ซึ่งเราอาจหลงวนอยู่ในนั้นโดยไม่ทันได้ตระหนัก”
ทบทวนร่องรอยของอดีต (เพื่อปัจจุบัน)
ประวัติศาสตร์มีเส้นทางของตัวเองที่อาจวนกลับมาได้ทุกเมื่อ การมองย้อนกลับไปเพื่อทบทวนถึงรอยเรื่องราวในอดีตจึงเป็นการระลึกไว้ถึงเหตุการณ์เหล่านั้น เพื่อแก้ไขเรื่องราวที่อาจซ้ำรอยให้ดีขึ้นหรือ เป็นแรงขับเคลื่อนในการต่อสู้เช่นเดียวกับอดีต ดังบทที่ว่า
“เรียนรู้พลั้งพลาดบาดแผล ไม่คู้ค้อมยอมแพ้แก่ภูตผี
นักศึกษา ปัญญาชน กวี ทั้งตาเถร เณร ชี เคยยาตรา!” (น.61)
จากตัวอย่างกวีนิพนธ์บทนี้จะสัมผัสได้ว่าผู้เขียนกำลังเชิญชวนให้เรามองย้อนกลับไปในรอยเท้าของบุคคลทุก ๆ คนในประวัติศาสตร์ของสังคมไทยของเราได้ตระหนักและเรียนรู้ถึงบาดแผลและการต่อสู้ ในรอยอดีต แม้ประวัติศาสตร์การเมืองนั้นจะเป็นส่วนมืดดำของประวัติศาตร์ไทยที่หลายคนเลี่ยงจะเอ่ยถึงแต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันจะวนกลับมาหาเรามิเช่นนั้นคงไม่มีการเรียกร้องนู่นนี่อยู่ร่ำไปจะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้าหากเราจะทบทวน ใคร่ครวญประวัติศาสตร์ทั้งดำและขาวเพื่อจะให้เหตุการณ์เหล่านั้นกลับมาซ้ำรอบเดิมน้อยที่สุดหรือทำให้รับมือกับมันโดยไม่ผิดพลาดและไม่สูญเสีย
วาทะ บุคคล กวีนิพนธ์ และการครุ่นคิด
มีบางวาทะเป็นที่กล่าวถึง บางบุคคลเป็นตำนาน บางบทกวีเป็นที่จดจำ ในกวีนิพนธ์เล่มนี้ มีการหยิบยกเอาทั้งหมดมากล่าวในบทกวีหลาย ๆ บท เช่นนี้จึงทำให้สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อปรากฏชัดเจน จับใจ และเรียกความรำลึกของผู้อ่านได้มากยิ่งขึ้น เช่น การกล่าวถึงประโยคขอร้องก่อนฆ่าตัวตายของ ท่านผู้พิพากษา คณากร เพียรชนะ ในบท “คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน” (น.79)ซึ่งเป็นการย้ำเตือนถึงปัญหาในกระบวนการยุติธรรมและเป็นที่ตั้งคำถามกันในสังคมช่วงหนึ่ง , การนำท่อนหนึ่งจากกวีนิพนธ์ “ดอกไม้จะบาน” (จิระนันท์ พิตรปรีชา:ใบไม้ที่หายไป) มาใช้ในบท “เธอตื่นเธอจึงถาม” (น.54) ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อถึงการที่เยาวชนตื่นจากระบบที่เคยกดขี่เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของสังคมหรือการรำลึกถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ในบท “จิตร ภูมิศักดิ์” (น.70)ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นโดยรัฐกระทำต่อนักศึกษาและประชาชน
ทั้ง 3 สิ่งที่ผู้เขียนได้แทรกในกวีนิพนธ์นั้นล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้อ่านใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่เกิดแรงกระเพื่อมในสังคม เกิดการตั้งคำถาม ความแตกแยก การเรียกร้องความถูกต้อง นำไปสู่การคิดถึงความชั่วหรือดีของขั้วการเมืองทั้งสองฝั่ง
ความเป็นกลางและทางของสันติ
เมื่อมีความคิดต่างกลุ่มคนจึงมักแบ่งเป็น 2 ฝ่ายหรือมากกว่านั้น เพื่อเรียกร้องให้ยอมรับในอุดมการณ์ของตนเอง แต่บางทีการเรียกร้องการยอมรับเริ่มกลายเป็นการบังคับให้ยอมรับ ใครไม่เห็นด้วย ก็จะถูกตีตราว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามโดยจากตรงนี้จะพบว่าผู้เขียนนั้นมองโลกอย่างคนคนหนึ่งที่มิได้หลับหูหลับตาฝักใฝ่ฝ่ายใดจนเห็นได้ชัด น้อยคนนักที่จะกล้าหาญพอในการพูดถึงความเป็นจริงในข้อนี้ท่ามกลางสังคมที่บ่งฝักฝ่ายชัดเจนและผู้คนก็ล้วนยึดมั่นในอุดมณ์การของฝั่งตนว่าดีเลิศ แน่นอนว่าสันติ ไม่เคยเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแจ้ง สุดท้ายแล้วความสุดโต่งย่อมนำพาไปสู้ความพ่ายแพ้ไม่ว่าฝ่ายใด ดังที่ผู้เขียนได้สื่อไว้ในกวีนิพนธ์เรื่อง “เผื่อแผ่แง่คิด”
“ทวนทบ สงบนิ่ง แกล้มความจริงอันปางตาย
สุดโต่ง สุดท้าย แต่ละฝ่ายย่อมพ่ายแพ้!
(น.92)
จากกวีนิพนธ์บทนี้ได้พูดถึงการยึดมั่นถือมั่นแนวความคิดที่สุดโต่งโดยเฉพาะกับฝ่ายของตน แม้ว่าอุดมการณ์นั้นจะดีเพียงใดแต่การไม่เปิดรับแง่คิดอื่น ๆ ซ้ำยังยัดเยียดความเป็นฝักเป็นฝ่ายให้ผู้ที่ไม่ได้เข้าข้างนั้นเป็นสิ่งที่นำสู้ความพ่ายแพ้ ท่านลองจินตนาการเล่นๆดูสิว่าหากมีผู้เรียกร้องเสรีภาพบังคับให้ทุกคนต้องเรียกร้องเสรีภาพและปิดหูปิดตาโยนความเป็นเผด็จการให้ผู้ที่คิดต่างโดยไม่รับฟัง แล้วไหนกันล่ะเสรีภาพที่แท้จริง ?
ทางออกของเขาวงกต
หากผู้อ่านได้อ่านกวีนิพนธ์เรื่อง “ประเทศในเขาวงกตและบริบทอื่น ๆ ” ก็จะพบว่าหนังสือเล่มนี้กำลังเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ท่านได้ใคร่ครวญถึงประวัติศาสตร์ทั้งขาว ดำ โลกจริง โลกเสมือน และความบิดเบี้ยวของสังคมซึ่งนั่นคือเขาวงกตที่มีมาเนิ่นนาน เขาวงกตที่แสนคดเคี้ยวยังคงอยู่กับเรามาทุกยุคทุกสมัยและดูเหมือนว่าจะมีผู้กล้าบ้าบิ่นพยายามเสาะแสวงหาทางออกหลายต่อหลายกลุ่มโดยใช้อุดมการณ์ที่แตกต่างกันเข้าต่อสู้เพื่อหาทางออก ทั้งสู้กับกำแพงเขาวงกตและโจมตีกันเอง อย่างไรก็ตาม ทุกท่านลองตรองดูสิว่า หากคนหลายๆกลุ่มที่พยายามจะออกจากเขาวงกตนั้นหันมาต่อสู้กันเอง เพียงเพราะความต่างทางความคิดหรืออุดมการณ์จะมีใครเดินทางไปถึงแสงสว่าง ณ ปลายทางบ้างหรือไม่ นี่คงเป็น สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อผ่านบทกวีทุก ๆ บทในกวีนิพนธ์ ทุกเรื่องมีข้อคิดในตัวเองแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้อ่านได้ตกผลึกมาจะเป็นเครื่องมือนำพามนุษย์ในสังคมแห่งความวกวนนี้ไปสู้ปลายทางแห่งสันติ ดังบทกวี “น้อยลงและมากขึ้น”
“เกลียดกันและกันให้น้อยลง โลกก็คงขับขานการทอถัก
เชื่อมโยงความชุ่มเย็นเป็นที่พัก กะเทาะเกราะดานดักหนักหน่วงนั้น
เกลียดทุกอย่างให้น้อยลง โลกก็คงมีที่ว่างให้สร้างสรรค์
อาจไม่ต้องสานถักรักกันและกัน แค่ไม่ปันความเกลียด ความเคียดแค้น”
(น.131)
ถ้าหากปลายทางของเขาวงกตคือสันติภาพ ความเข้าใจ ความเท่าเทียมของเพื่อนมนุษย์ การลดความเกลียดชังเพื่อเข้าใจโลกให้มากขึ้นก็คงเป็นกุญแจนำทางไปสู่ปลายทางนั้น เราอาจไม่จำต้องรักคนทุกคนบนโลกเพราะมนุษย์ก็คือมนุษย์ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดาแต่เราก็ไม่จำเป็นต้องส่งต่อความเกลียดชังสู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
กวีนิพนธ์เล่มนี้แม้จะมีถ้อยคำที่คมกริบ สำนวนที่คมคาย อารมณ์บางช่วงที่กระแทกกระทั้นรุนแรง แต่บางบทก็แฝงด้วยความนุ่มนวลสลับกันไป แต่ทุก ๆ บทล้วนทำให้ผู้อ่านต้องหยุดคิดได้เช่นกัน หลาย ๆเรื่องอาจไม่ตรงกับจริตของหลายๆคน หรือต่างออกไปจากอุดมการณ์ที่ท่านยึดถือ ถึงแม้ว่าผู้อ่านส่วนหนึ่งจะนิยมชมชอบในบทกวีของผู้เขียนและบางส่วนอาจต้องขมวดคิ้วไปด้วยเมื่ออ่าน แต่ทุก ๆ ถ้อยคำที่ท่านอ่านไปท่านจะได้ใคร่ครวญถึงความเป็น “ประเทศในเขาวงกตและบริบทอื่น ๆ” เป็นที่น่ายินดีหากผู้อ่านชื่นชอบและได้นำผลึกความคิดเหล่านั้นไปใช้ และเป็นการดียิ่งกว่าหากผู้อ่านพบว่ากวีนิพนธ์ เล่มนี้ไม่ตรงกับจริตหรืออุดมการณ์ของท่านเพราะเพียงแค่ผู้อ่านได้เริ่มลงมืออ่านหัวใจของท่านก็ได้เปิดกว้างพอที่จะรับแง่คิดใหม่ ๆ อย่างน่าอัศจรรย์