Champagne Supernova กับการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี:
แด่ชาลี และทุก ๆ ชาลี ที่กำลังแสวงหาตัวตน
ณชลนิภา วิระชะนัง
ลองจินตนาการดูว่าจะเป็นอย่างไร หากวันหนึ่งคุณตื่นมาพบคนที่มีหน้าตาถอดแบบตนเองมาทุกประการ เชื่อว่าทุกคนคงจะตกใจไม่น้อยหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องราวเช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ดอพเพลแกงเกอร์ (doppelgänger หรือ แฝดคนละฝา) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนจะมีคนที่หน้าตาเหมือนเราอีก 7 คนบนโลก โดยที่ไม่ได้เป็นฝาแฝดกันหรือมีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทางด้านเชื้อสายครอบครัวเลย และคงจะน่าสนใจไม่น้อยหากเราได้พบคู่ที่เป็นดอพเพลแกงเกอร์ของเรา แต่สำหรับชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า “ชาลี” เมื่อเขาได้ค้นพบบุคคลที่เป็นดั่งตัวเขาในมิติคู่ขนาน กลับนำพาให้เขาเกิดความคิดต้องการฆ่าตัวตายขึ้นมา
“Champagne Supernova และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี” คือผลงานของพิชา รัตนานคร ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศหนังสือดีเด่นรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 21 นวนิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของตัวละครเอก ‘ชาลี’ พนักงานบริษัทวัยกลางคนชนชั้นกลาง สังกัดอยู่ฝ่ายขาย ปีกซ้ายของชั้นที่ 9 เขาประสบปัญหาความขัดแย้งในตนเอง ทั้งชีวิตเขาเป็นเพียงผู้ชายจืดชืด ไร้สีสันและไม่โดดเด่น หลายครั้งก็กลมกลืนไปกับพื้นหลัง เป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานดั่งฟันเฟืองหนึ่งในระบบทุนนิยมเท่านั้น จนกระทั่งเขาได้บังเอิญพบกับหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล หนังสือที่อ่านจบแล้วทำให้เขาอยากฆ่าตัวตาย ทว่าเขาจะพยายามฆ่าตัวตายเท่าไรก็ไม่อาจทำได้สำเร็จและไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ตายอย่างน่าอัศจรรย์
Champagne Supernova: เพลงดัง เครื่องดื่ม และการฆ่าตัวตายของชาลี
ตลอดนวนิยายเรื่องนี้สอดแรกเพลงและหนังต่าง ๆ ที่ชาลีได้ฟังและเปิดดูอยู่บ่อยครั้ง แม้หลาย ๆ เพลงดูเป็นเพียงการสื่อให้เห็นถึงรสนิยมของตัวละครในเพลงแนว Britpop หรือเป็นการช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ฉาก แต่หากมองลึกลงไป บางเพลงกลับดูมีความหมายแฝงที่ซับซ้อนไปมากกว่านั้น โดยเฉพาะเพลง Champagne Supernova ของวง Oasis ที่ดูเหมือนจะเป็นแรงบันดาลใจหลักของผู้เขียนในการแต่งนวนิยายเรื่องนี้ ทั้งเป็นชื่อที่อยู่ในชื่อเรื่อง และยังปรากฎขึ้นอีกครั้งในตอนท้ายเรื่องในฐานะเพลงประกอบการฆ่าตัวตายสำเร็จครั้งแรกของชาลีอีกด้วย
“แล้วชาลีก็ได้ยินเสียงน้ำไหลดังขึ้นมา ไม่ใช่เสียงจากลำธารหลังบ้าน หากแต่มันมาจากเพลงที่เคยเงียบไปจากห้องทำงานด้านบนได้กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เพลงที่เคยดังขึ้นมาประกอบความตายในครั้งแรกของชาลี Champagne Supernova…” (น. 353-354)
เมื่อพิจารณาที่มาและความหมายเพลงนี้ อาจมองได้ว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับเนื้อเรื่องของนวนิยาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตที่ไร้ตัวตนของเขา เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยไร้คนสนใจ ไม่มีซึ่งความสำคัญพอที่จะให้โลกหยุดหมุน นอกจากเพลงดังกล่าวแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ยังปรากฏชื่อเพลง The Chemistry Between Us ของ Suede ดังข้อความที่ว่า “อินโทรของ The Chemistry Between Us ดังขึ้นตอนนั้น ก่อนจะกลายเป็นเสียงเดียวในความมืด” (น. 27) ความน่าสนใจของทั้งสองเพลงข้างต้นคือทั้งคู่ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘การพี้ยา/เมายา’ (All about RKID, 2561) ดังนั้น หากมองลึกลงไป สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมนวนิยายเรื่องนี้จึงมีการนำเสนอความเหนือจริงบนพื้นฐานของความเป็นจริง กล่าวคือ สิ่งเหนือความคาดหมายที่ชาลีพบเจอในเรื่องอาจเป็นผลมาจากฤทธิ์ของยาแก้ปวดที่เขากินเข้าไปเกินขนาดในปริมาณ 100 เม็ดจากความพยายามฆ่าตัวตายครั้งแรก รวมถึงฤทธิ์ของเครื่องแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มตลอดเรื่องสิ่งเหล่านี้จึงอาจมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทจนเกิดภาพหลอน จนนำไปสู่เรื่องราวประหลาดที่ชาลีพบเจอ
หนึ่งในเรื่องราวเหนือจริงเหล่านั้นก็รวมไปถึงต้นมะพร้าวทะเลทรายพูดได้ที่อยู่ในห้องของชาลีอีกด้วย โดยเขามักจะได้ยินเสียงของมันหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นไปได้ว่าการพูดได้ของต้นไม้นี้อาจมาจากภาพหลอนและอาการมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือยา หากอาจพิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่งได้ว่า การมีอยู่ของต้นมะพร้าวทะเลทรายนั้นอาจสะท้อนถึงความเหงาและเปล่าเปลี่ยวของชาลีเอง ชาลีนั้นอาจตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ต้องการมีเพื่อนคุย มีคนที่คอยรับฟัง รู้สึกขาดคุณค่าในชีวิตและเป้าหมายในการดำรงชีวิตอยู่ การที่ต้นมะพร้าวทะเลทรายคอยสั่งให้เขาดูแลและรดน้ำให้มันอยู่เรื่อย ๆ จึงเป็นเหมือนภาระหน้าที่ซึ่งคอยผูกชาลีไว้ไม่ให้อยากฆ่าตัวตายโดยที่ทิ้งมันไว้ในห้อง ดังที่ต้นมะพร้าวทะเลทรายพูดว่า “เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมนายถึงได้ฆ่าตัวตาย จะเพราะอะไรมันก็สิทธิ์ของนาย เพียงแต่สำหรับสิ่งมีชีวิตในกระถางอย่างเรา เราจำเป็นต้องพึ่งนาย ถ้านายตายเราก็ไม่รอด” (น. 226) เสียงต้นไม้พูดได้ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นกลไกการรับมือทางจิตใจ (Coping Mechanism) ที่จะช่วยให้ชาลีมีชีวิตอยู่ต่อไป
จะเห็นได้ว่า ชาลีและต้นไม้ทั้งคู่ก็พึ่งพาซึ่งกันและกัน ต้นไม้ก็ต้องการคนดูแล ส่วนการที่ชาลียึดติดกับต้นนี้ถึงเพียงนี้ อาจเพราะมันเป็นดั่งความหมายในการใช้ชีวิตอยู่ต่อของเขา จึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่ต้องการคืนต้นไม้ที่มีความหมายนี้ให้แก่จอยผู้เป็นแฟนเก่า แม้ว่าชาลีจะกล่าวว่า “ชาลีเองก็ไม่เข้าใจเขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงปฏิเสธ มันไร้เหตุผล” (น. 197) แต่แท้ที่จริงแล้ว เหตุผลที่สำคัญคือต้นมะพร้าวทะเลทรายเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มตัวตนของชาลีให้มีคุณค่า ไม่ให้เขารู้สึกว่าเขาคือ “ตัวปลอม”
วิกฤตตัวตนกับอัตลักษณ์ที่ขาดหาย
สำนักงานราชบัณฑิตยสภาอธิบายคำว่า อัตลักษณ์ (Identity) ว่าประกอบด้วยคำว่า อัต ซึ่งหมายถึง ตน หรือ ตัวเอง กับ ลักษณ์ ซึ่งหมายถึง สมบัติเฉพาะตัว โดยในทางจิตวิทยาการแพทย์ หมายถึง ลักษณะเฉพาะชุดหนึ่งของแต่ละบุคคลซึ่งแสดงออกต่อผู้อื่น ลักษณะเฉพาะดังกล่าวนี้จะช่วยให้ผู้อื่นสามารถบ่งชี้บุคคลนั้น ๆ ได้ แต่หากเราขาดซึ่งอัตลักษณ์ก็อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์แห่งความสงสัยใคร่รู้ในบทบาทของตัวเองในสังคม สงสัยว่าเราคือใคร เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เป็นอะไรในสังคมนี้อย่างปรากฏการณ์ที่เอริก เอริกสัน(Erik Erikson)นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน เรียกว่า ‘วิกฤตแสวงหาตัวตน’ (Identity Crisis)
ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของเรื่องนี้คือการที่บางตัวละครในเรื่องจะมีอีกหนึ่งตัวละครที่ใช้ชื่อเดียวกัน ไม่ว่าจะตัวชาลีเอง ‘จอย’ ที่เป็นแฟนเก่า พนักงานที่ทำงานในบริษัทเดียวกับเขาและเป็นแฟนคนแรกที่ชาลีคบ และอยู่ด้วยกันจนกระทั่งความรักเปลี่ยนเป็นความเคยชิน และจบที่ความเบื่อหน่ายและซ้ำซาก กับอีก ‘จอย’ ที่เป็นเด็กอายุ 17 ปี ที่หนีออกจากบ้านเพราะเธอเบื่อกับระบบการศึกษา และออกไปใช้ชีวิตตามหาตัวตนของตนเอง รวมถึง ‘พลอยหยิก’ กับ ‘พลอยสวย’ ที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมของจอย ที่เมื่อเปิดเทอมใหม่มา รูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็สลับกัน แต่เพื่อน ๆ ก็เคยชินกับฉายาเดิมจนไม่อยากเปลี่ยนชื่อเรียกไปแล้ว
จะเห็นได้ว่าตัวละครดังกล่าวแม้จะใช้ชื่อเดียวกันก็ล้วนมีความแตกต่างและอัตลักษณ์ที่ชัดเจน เว้นแต่ชาลีตัวเอกของเรื่องที่ยังคงถูกบรรยายให้เป็นชายธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเช่นเดิม จากเรื่องราวที่ผู้อ่านได้รับรู้ อาจเป็นไปได้ว่าชาลีอาจกำลังประสบวิกฤตตัวตนและการสูญเสียซึ่งอัตลักษณ์ ไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือการที่เขาไม่สามารถค้นพบอัตลักษณ์ของตนเองได้ตั้งแต่ช่วงวัยเรียน และได้แต่ไหลไปตามกระแสสังคมเพื่อให้เข้ากับผู้อื่นได้เท่านั้น ดังข้อความ“ในกลุ่มเพื่อนๆที่โรงเรียนเขาคือคนสุดท้ายที่จะถูกเรียกเวลาเป่ายิงฉุบเลือกทีมเสมอ… เขาไม่มีบุคลิกภาพและความสามารถพิเศษอะไรที่พอจะทำให้คนอื่นสนใจเป็นเพียงเด็กจืดชืดที่เรียกหาการยอมรับจากเพื่อนพยายามทำอะไรก็ได้เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนว่าอย่างไรชาลีก็ว่าอย่างนั้น… ชาลีก็เลยไม่มีตัวตนทั้งกับตัวเองหรือกับคนอื่นและครองสถานะเช่นนี้ไปจนกระทั่งจบชั้นมัธยม” (น. 16)
นอกจากนี้ ในตอนหนึ่งของเรื่องยังปรากฏฉากที่ชาลีฝันว่ากำลังถูกไล่ล่าโดยฝูงของตนเอง “สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดก็คือคำเฉลยเงาลางพวกนั้น มันคือตัวเขาเอง! ชาลีถูกตามล่าโดยฝูงของชาลี” (น. 71) ความฝันดังกล่าวอาจแสดงให้เห็นถึงความกดดันของเขาที่มีต่อการค้นหาตนเอง และให้คำตอบกับตนเองว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนแบบไหน เกิดมาเพื่ออะไร และการไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามในหัวได้ โดยเฉพาะเมื่อพบว่ามีเขาอีกคนอยู่ในโลกนี้ที่เชียงใหม่ นั่นอาจทำให้เขามองว่าชาลีมีได้เพียงคนเดียวในโลกเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอัตลักษณ์ในตัวตนของเขาที่ควรจะมีเพียงหนึ่งเดียวก็จะหายไปด้วย สิ่งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชาลีเกิดวิกฤตอัตลักษณ์ รู้สึกสูญเสียคุณค่าและความเป็นตัวตน ประกอบกับเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเลิกกับแฟนสาว อีกทั้งยังหมดภาระหน้าที่ต้องดูแลต้นมะพร้าวทะเลทรายที่คืนให้กับแฟนสาวไป รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานจนทำให้เขาไม่รับโบนัสประจำปี สิ่งเหล่านี้จึงชักจูกให้จึงเกิดความคิดฆ่าตัวตายอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฟันเฟืองเล็ก ๆ ในระบบทุนนิยม
หนึ่งในจุดสำคัญที่เห็นได้ชัดเจนตลอดทั้งเรื่องก่อนที่ชาลีจะลาออกไปตามหาตัวตนของเขาอีกคนคือเรื่องราวการทำงานตลอด 8 ปีของเขา แม้ภาระงานจะหนักหนาสักเพียงใด แต่ชาลีก็ก้มหน้าทนทำงานมาได้ตลอดระยะเวลานั้น “รับมือกับงานปริมาณสำหรับสามคนได้เพียงลำพังไม่บกพร่องไม่คิดการใหญ่ไม่เกี่ยงงานไม่เรื่องมาก มีปากเสียง ก้มหน้าก้มตาทำงานตามแต่จะได้รับมอบหมายโดยไม่สนใจว่าจะเป็นวันหยุด หรือเกินเวลา หรือว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่” (น. 271) นอกจากนี้ ชาลียังทำงานเอกสารจนชำนาญ “กลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เขาทำไปอย่างไม่รู้ตัวว่าซึมเข้าไปในมัดกล้ามเนื้อและเส้นประสาทราวกับเกิดมาเพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะ” (น. 68) ราวกับว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว
แม้กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่สำหรับพนักงานเงินเดือนธรรมดา ๆ อย่างชาลี การทำงานอย่างหนักหน่วงนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตของเขาเป็นอย่างมาก และส่งผลกระทบไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเขากับผู้คนรอบข้าง ดังนั้น แทนที่กรุงเทพฯ จะดูมีสีสัน มันกลับกลายเป็นเมืองที่ทำให้เขารู้สึกเหงา เปล่าเปลี่ยว และห่างเหิน ชาลีใช้ชีวิตวนอยู่ในวัฏจักรเดิม ๆ จนงานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวตนของเขาไปแล้ว เป็นไปได้ว่าการทำงานเช่นนี้เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างและสูญเสียความเป็นตัวเอง ที่ผ่านมาตัวตนของเขาถูกกำหนดไว้เพียงการเป็นพนักงานบริษัทหนึ่งที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่มีปากมีเสียง และเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ถูกสั่งการไว้และไม่อาจมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองได้ เขาทำงานและใช้ชีวิตอยู่เพื่อมันอย่างกับว่าเขาเกิดมาเพื่อทำงานและไม่ได้ทำมันเพียงเพื่อหาเงินให้มีชีวิตรอดต่อไปอย่างที่ควรเป็น และสิ่งนี้ก็ยิ่งถูกทำให้เด่นชัดขึ้นไปอีกจากการที่เขามีเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างกันคนละขั้วอย่างคมสัน หรือพี่ชายที่ประสบความสำเร็จล้นหลามอย่างชานน
“แปดปีของชาลีก็สิ้นสุดลงแค่นี้เอง” (น.272) สุดท้ายแล้วชาลีก็เป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ในระบบทุนนิยม ทำงานเป็นเครื่องจักรที่ไม่อาจหยุดนิ่งได้ ราวกับว่าหากหยุดนิ่งไปแล้วเครื่องจักรที่ใหญ่กว่าจะหยุดตามไปด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น สุดท้ายโลกก็ไม่เคยหยุดหมุน เช่นเดียวกับเนื้อเพลงท่อนหนึ่งใน Champagne Supernova ที่กล่าวว่า “But you and I, we live and die” และ “The world’s still spinning ’round, we don’t know why”
แม้นวนิยายจะกล่าวถึงชาลีที่กำลังตามหาชาลีอีกคนหนึ่ง แต่หลังจากหน้าสุดท้ายของเรื่องราวที่สิ้นสุดลง กระดาษแผ่นต่อมาของหนังสือได้ปรากฏข้อความสีขาวบนหน้ากระดาษสีดำว่า “แด่ชาลี และทุกๆ ชาลี” (น. 355) ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่า นวนิยายนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงชาลีที่เป็นตัวเอกของเรื่อง แต่ยังอาจสะท้อนถึงมนุษย์เงินเดือนคนอื่น ๆ ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับชาลี อยู่ในฐานะฟันเฟืองเล็ก ๆ ในระบบทุนนิยมเช่นเดียวกับเขาที่ต้องทำงานอย่างหนัก และสุดท้ายเมื่อลาออกก็เพียงถูกแทนที่ด้วยฟันเฟืองอันใหม่ ถูกลดทอนซึ่งความสำคัญและตัวตนจนอาจหลงลืมหรือทำอัตลักษณ์หล่นหายระหว่าทาง กระดาษแผ่นนั้นจึงเป็นดั่งคำอุทิศในงานฌาปนกิจแด่ “ชาลีและทุก ๆ ชาลี” ที่มีอยู่มากหน้าหลายตาในสังคม
เอกสารอ้างอิง
พิชา รัตนานคร. (2566). Champagne Supernova และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี. จงสว่าง.
All about RKID. (2561). รวมความลับของ 'Champagne Supernova' จากเพลงเมายาสู่สัจธรรมชีวิต.
Facebook. [Image]. https://www.facebook.com/photo.php?fbid=177608089579027&id=143865186286651&set=a.149903242349512
Biblio. (31 กรกฎาคม 2566). Doppelganger ปีศาจแห่งลางร้ายและความตาย ตัวตนที่สะท้อนด้านตรง
ข้ามของมนุษย์. https://www.biblio-store.com/blogs/ifcatsdisappearedfromtheworld-doppelganger/