Champagne supernova และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี:
โศกนาฎกรรมความฝันของมนุษย์เงินเดือนในระบบทุนนิยม

พิชญาภา  ศรีบัว

 

           Champagne supernova และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี เขียนโดยพิชา รัตนานคร ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2566 โดยสำนักพิมพ์จงสว่าง ได้รับรางวัลชนะเลิศจากโครงการหนังสือดีเด่นรางวัล “เซเว่นบุ๊คอวอร์ด” ครั้งที่ 21 ประเภทนวนิยาย และเป็น 1 ใน 8 เล่มใน Shot list รางวัลซีไรต์ปี 2567 รอบสุดท้าย หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานเล่มที่ 2 ของพิชาต่อจากหนังสือ “ชายผู้เขียนหนังสือได้ไม่เกินเจ็ดหน้า” พิชาเริ่มต้นจากการเป็นฟรีแลนซ์ในแวดวงหนังสือ เขียนบทความและคอนเทนต์ต่าง ๆ ก่อนจะหันมาเริ่มเขียนเรื่องราวที่ตัวเองอยากเล่า

นิยายนำเสนอปัญหาของมนุษย์เงินเดือน อาทิ ความ Toxic ในที่ทำงาน การเจ็บป่วยอันเกิดจากการทำงาน การเมืองในสำนักงาน ระบบประเมินงานความบอบช้ำ ความเหงา ความเบื่อหน่าย และความเป็น Loser ของมนุษย์ผ่านตัวเอกของเรื่อง ซึ่งก็คือ ชาลี ชาลีเป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีเล็กน้อย โดนหักประกันสังคมห้าเปอร์เซ็น ได้รับโบนัสเฉลี่ยนหนึ่งเดือนลาพักร้อนได้ปีละเจ็ดวัน มีคอนโดสามสิบตารางเมตรที่ต้องผ่อนไปอีกยี่สิบปี เป็นคนจืดชืดที่เราสามารถมองผ่านเลยไป ถูกสภาพแวดล้อมกลืนหาย ทั้งยังไม่มีใครสังเกตเห็นแม้ว่าเขาจะดำรงอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดก็ตามและในชีวิตของเราจะต้องรู้จักคนแบบชาลีอย่างน้อยหนึ่งคน ซึ่งมีตัวตนอยู่ในทุกสำนักงาน ชาลีใช้ชีวิตเป็นแบบเดิมซ้ำ ๆ คาดเดาได้ มีชีวิตวนเวียนอยู่กับการตื่นนอนเวลาเดิม ไปทำงานเวลาเดิม กินข้าวกลางวันเวลาเดิม กลับบ้านเวลาเดิม และอยู่กับงานในตำแหน่งเดิมมาแปดปี เปรียบเสมือนเครื่องจักรตัวหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตของทุนนิยมวนลูปไปมาแม้ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ตาม

ประเด็นหลักของนิยายสะท้อนถึงประเด็นปัญหาร่วมสมัยโดยเฉพาะการทำงานของมนุษย์เงินเดือนในระบบทุนนิยม การลดทอนความเป็นมนุษย์ การทำงานของกลไกบางอย่างของระบบทุนนิยมอันส่งผลต่อคนในสังคม ก่อเกิดโรคแห่งความทันสมัยหลาย ๆ อย่าง อาทิ การละเลยสุขภาพจนนำไปสู่ความเจ็บป่วยทางกายทางจิตใจ และการละเลยความสัมพันธ์ทั้งกับคนในครอบครัว คนรัก ไปจนกระทั่งความฝันของตัวเอง โดยที่ไม่ได้มีเวลามาตั้งคำถามกับสิ่งที่ดำเนินอยู่เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน การมีชีวิตในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่ในสังคมน่าจะเป็น และไม่คิดว่าตนเองกำลังถูกกลไกบางอย่างในสังคมที่ทำให้เป็นแบบนี้เช่น การแบกรับภาระงานที่มากเกินไป การทำงานล่วงเวลา การเข้ามาทำงานในวันหยุดตามที่เจ้านายร้องขอ ขั้นตอนและกระบวนการอนุญาตให้ลาหยุดงานแม้จะเป็นสิทธิแต่ก็ลำบากเหลือเกิน เนื้อหาของเรื่องจึงบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยภายในจิตใจของชาลีอย่างหนักหน่วงเพื่อไปพบกับ “ชาลี” อีกคนก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตาย

 

แรงงานมนุษย์ในระบบทุนนิยม

ชาลีพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาแก้เกินขนาดแต่ไม่ประสบความสำเร็จในการตาย หลังจากนั้นเขาก็เพียรพยายามฆ่าตัวตายถึงสี่ครั้งด้วยการสรรหาวิธีต่าง ๆ มาทำให้ตัวเองตาย ครั้งที่สองผูกคอตาย ครั้งที่สามกระโดดตึก และครั้งสุดท้ายยิงตัวตาย ชาลีระบุว่าตนเองไม่ได้มีปัญหากับอะไรในชีวิต แม้ว่าเขาจะเพิ่งเลิกรากับแฟนสาวไปแต่นั่นก็หาใช่สาเหตุของการพยายามจบชีวิต ไม่ได้มีปัญหาเรื่องงานแม้ว่างานที่ทำอยู่จะไม่ได้พาก้าวหน้าไปไหน แล้วเหตุใดชาลีถึงต้องอยากฆ่าตัวตายมากขนาดนั้น นั่นคือสิ่งที่นิยายเรื่องนี้ต้องการทำงานร่วมกับคนอ่าน

“งานของชาลี คืองานเอกสารทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกระบวนการขาย หลังจากพนักงานขายออกไปหลอกล่อลูกค้าจนตกลงใจที่จะซื้อได้แล้ว เอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นนับจากนี้ จวบจนถึงส่งมอบงานทุกชิ้นคือหน้าที่ของชาลี เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างจำนวนลูกค้าหลักร้อยต่อพนักงานขายหลักสิบต่อชาลีหนึ่งคนแล้วเขามีอะไรทำไม่ขาดมือ ชาลีรับหน้าที่นี้มาแล้วแปดปี รับมือกับกองทัพเอกสารมาเพียงลำพังโดยตลอด ถึงผู้จัดการจะเคยเปรยว่ากำลังหาใครมาช่วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีใครมา” (หน้า 21)

ชาลีเป็นตัวแทนของมนุษย์เงินเดือนที่ปรากฏตัวอยู่ในสังคมปัจจุบัน คนธรรมดาทั่วไปที่ใช้เวลาชีวิตไปกับการทำงานและมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์สำหรับการซักผ้ากระพริบตาอีกทีก็เป็นวันจันทร์ นิยายเล่าเรื่องราวของตัวประกอบของสังคมอย่างชาลี ผู้ชายธรรมดาไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานในหน้าที่การงาน ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายใช้ชีวิตเป็นวัฏจักรอยู่เช่นนั้น เป็นพนักงานประเภทหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปและบรรยากาศการทำงานที่เราพบได้ในทุกสำนักงาน ใครทำงานได้โดยไม่บ่นก็รับงานจากเจ้านายไปอีก ในขณะที่มีพนักงานอีกประเภทหนึ่งคือคนแบบ “คมสัน” ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในบริษัทหรือระบบราชการเช่นกัน คมสันเป็นพนักงานขายรุ่นเดียวกับชาลีมีบุคลิกพิเศษที่สามารถเข้าได้กับทุกคน เป็นพนักงานในแบบที่เพื่อนร่วมงานเอือมระอาและมีคุณสมบัติที่พร้อมจะโดนไล่ออกได้ทุกเวลา เข้าออกงานตามใจตัวเอง ขาดงานโดยไร้สาเหตุ หยุดเกินวันลา เบิกค่าใช้จ่ายเงินจริงแต่คมสันรู้ว่าต้องวางตัวอย่างไรในสถานการณ์แบบไหนและกับใคร และเหนืออื่นใดก็คือไม่ว่าจะไม่เอาการเอางานแค่ไหนยอดขายของคมสันก็ไม่เคยหลุดจากขั้นต่ำเลย คมสันเปิดเผยถึงเหตุผลที่เขาทำตัวเช่นนั้นไว้ว่า

“ ยอดขายผมพุ่งกระฉูดแบบว่าลบทุกสถิติหยุดทุกกระแสความแรงอะไรอย่างนั้น คำด่าเมื่อเดือนก่อนกลายเป็นคำล้อเล่นของผู้จัดการตอนนั้นผมก็เลยรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ถ้าผมทำได้เกินเป้าแล้วที่เหลืออะไรก็ได้” (หน้า 117)

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เลยอยู่ที่ด้วยเงื่อนไขนี้มาตลอดถึงจะไม่เป็นทางการ ไม่มีเกี่ยวก้อยสัญญาแต่ก็เป็นอันรู้กันว่าถ้ายอดถึงก็ไม่มีใครมายุ่งด้วย จะเหลวไหลแค่ไหนก็เรื่องของมึงตราบเท่าที่งานยังดี” (หน้า 118)

ประเด็นความเหลื่อมล้ำในระบบการทำงานข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทในระบบทุนนิยมไม่ได้สนใจว่าใครจะทำงานหนักแค่ไหน ลาบ่อยหรือไม่ มาทำงานสายกี่วัน หากสุดท้ายแล้วหากพนักงานสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นสูงให้กับบริษัทได้แค่นั้นถือเป็นอันสิ้นสุด แม้ชาลีเองจะมาทำงานตรงเวลา รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองเป็นอย่างดี อยู่ทำงานดึกดื่นบ้างเมื่อจำเป็นแต่เมื่อผลประเมินสิ้นปีออกมาชาลีกลับได้รับโบนัสเพียงเดือนครึ่ง ซึ่งเขาก็ยอมรับแต่โดยดีไม่ได้ต่อรองแต่อย่างใด

“หนึ่งเดือนก่อนสิ้นปี สำนักงานหัวฟูกันทั้งชั้นทุกภาคส่วนปริมาณงานล้นทะลักเกือบเท่ากับสิบเดือนก่อนหน้าราวกับเป็นคลื่นลูกโตชุดใหญ่ให้เหล่าพนักงานรวมพลังรีดเค้นความสามารถทั้งหมดออกมารับมือส่งท้ายปี ทุกตารางนิ้วมีแต่งาน เช่นเดียวกับทุกวินาทีมีแต่งาน ชั่วโมงทำงานคุ้มค่าไม่มีตกหล่นแม้แต่ลมหายใจเดียวงาน งาน งาน กึกก้องอยู่ในออฟฟิศ หากจะกล่าวว่านี่เป็นสถานการณ์ปกติประจำปีของบริษัทก็ไม่ผิดนัก แปดปีที่ชาลีทำงานที่นี่เดือนพฤศจิกายนไม่เคยยุ่งน้อยลงกว่านี้ราวกับเป็นธรรมเนียมไว้วัดผลก่อนเข้าประเมินเคพีไอ” (หน้า 110)

แม้ชาลีจะอยากตายแค่ไหน แต่งานของเขากลับไม่อนุญาตให้นึกถึงวิธีฆ่าตัวตายครั้งต่อไปได้เลยเขาวุ่นวายอยู่กับงานจนลืมเรื่องฆ่าตัวตายไปอย่างสนิท การฆ่าตัวตายถูกเลื่อนออกไปอย่างรอฤกษ์ยามที่เหมาะสม ชาลีกลายเป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่อยู่ในร่างของพนักงานเงินเดือนโดยไม่มีใครสังเกต ตราบใดที่งานของเขายังไม่มีที่ติและยังสามารถรับผิดชอบงานตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นฟันเฟืองให้บริษัทเติบโตอย่างราบรื่นแค่นั้นเป็นอันจบ แม้ชีวิตจะยังมีลมหายใจแต่วิญญาณของชาลีราวกับตายไปแล้ว กลไกบางอย่างในชีวิตประจำวันได้สร้างความ Toxic ขึ้นโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัวว่ากำลัง Toxic ใส่คนอื่นหรือไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่าคนอื่นกำลังทำตัว Toxic ใส่ตัวเอง

ความเป็นเมืองและสังคมรูปแบบนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมเวลาทำงานเข้ามากำหนดวิถีชีวิตของผู้คนให้เริ่มมีกิจวัตรประจำวันเกิดขึ้น มนุษย์มีชีวิตเพื่อการทำงาน และค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับวิถีแบบนี้จนในที่สุดความเป็นมนุษย์ถูกลดทอนให้เหลือเพียงแค่ฟังก์ชันของการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (productivity) เมื่อถูกสภาวะแวดล้อมครอบงำก็ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมแปลก ๆ จนไม่รู้ว่าตัวเองเฉยชากับอะไร ใจร้ายกับคนอื่นแค่ไหน หรือผลัดผ่อนความฝันของตัวเองออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ได้มีโอกาสนึกถึงมัน

            การดำเนินเรื่องแสดงให้เห็นถึงความหมายและมูลค่าของ “เวลา” ในระบบทุนนิยม ที่สามารถซื้อขายได้และเวลานั้นก็สามารถยืดหยุ่นในการทำงานได้เช่นเดียวกัน ความเปลี่ยนแปลงของระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมในระบบทุนนิยมที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ระบบทุนนิยมจัดการเวลาใหม่ให้เป็นแบบ Flexible Time คือ ทำให้เวลาไม่ตายตัว สามารถยืดหยุ่นได้ โดยจัดการกับเวลาของการใช้ชีวิต (Life Time) และเวลาของการทำงาน (Work Time) กล่าวคือ ทุนเข้าไปจัดการเวลาทำงานกับเวลาการใช้ชีวิตของมนุษย์ โดยเพิ่มเวลาการทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เวลาการทำงานขยายเข้าสู่เวลาของการใช้ชีวิตมากขึ้น จนท้ายที่สุดทำให้ Work Time ไม่แยกออกจาก Life Time ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องผลิตเฉพาะในเวลาทำงาน แต่อาจผลิตเวลาไหนก็ได้ การผลิตจึงอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ซึ่งจากเดิมระบบทุนนิยมควบคุมแรงงานมนุษย์ได้แค่ในเวลางานแต่เมื่อทุนสลายเส้นแบ่งเวลา Work Timeให้รวมอยู่กับ Life Time จึงเป็นการปล่อยให้แรงงานควบคุมตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ทุนผลักแรงงานออกไปทำงานนอกโรงงานและไม่จำกัดการทำงานให้อยู่แค่ในเวลาทำงานเพียง 8 ชั่วโมงด้วย

การฆ่าตัวตายครั้งที่สองด้วยการผูกคอตายของชาลีล้มเหลวอีกครั้ง เขาลืมตาตื่นขึ้นมาขณะที่ตัวห้อยอยู่บนออฟฟิศชั้นเก้าในเวลาห้าทุ่มกว่า ชาลีเลือกช่วงเวลาหลังเลิกงานของวันศุกร์ซึ่งเขามั่นใจว่าคงไม่มีใครอาศัยอยู่ในสำนักงานแห่งนี้อีกแล้ว ในเวลานั้นกลับเป็นช่วงเวลาเริ่มงานของใครอีกคน ซึ่งก็คือ อังเดร หนุ่มอเมริกันเชื้อสายรัสเซียผู้มีหน้าที่ดูแลระบบเน็ตเวิร์กให้กับบริษัท งานของอังเดรต้องทำในเวลาที่คนอื่น ๆ กลับบ้านไปหมดแล้ว ซึ่งชาลีสามารถยืนยันได้ว่าตลอดแปดปีของการทำงานอยู่ที่นี่ชาลีไม่เคยพบเห็นชายผู้นี้มาก่อนและแน่นอนว่าอังเดรก็ไม่รู้จักชาลีเช่นกันแม้จะทำงานให้กับบริษัทแห่งนี้มาหลายปีแล้วก็ตาม อังเดรมาทำงานที่ประเทศไทยผ่านคนรู้จักที่เรียกว่านายหน้า ชีวิตของอังเดรในเมืองหลวงของประเทศไทยมีความสุขดี จะเสียก็แค่ไม่มีสังคมเพื่อนฝูงเท่าไหร่นักอาจจะเพราะการที่เขาต้องมาทำงานดึกดื่นเขาจึงมีตัวตนตามลำพังอยู่ในดินแดนแปลกหน้าโดดเดี่ยวเท่านั้น เวลาเข้างานของอังเดรสะท้อนให้เห็นรูปแบบของเวลาการทำงานในระบบทุนนิยมได้เป็นอย่างดี แรงงานสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาโดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด ซึ่งเป็นลักษณะของการจัดการแรงงานของระบบทุนนิยมที่ลดการเสียเวลาและช่องว่างระหว่างวันทำงานทำให้แรงงานต้องทำงานหนักขึ้น กลไกของทุนนิยมที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันแนบเนียนเสียจนเราแยกไม่ออกว่าชีวิตที่พึงจะมีควรมีลักษณะเช่นใด

 

ความสัมพันธ์ในระบบทุนนิยม

ในระบบทุนนิยมไม่เพียงแต่แรงงานเท่านั้นที่สามารถซื้อขายได้ แต่เวลาและความสัมพันธ์ก็ถูกลดทอนให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้เช่นกัน ดังเห็นได้จากจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของตัวละครชาลีและจอย ชาลีรู้จักกับจอยเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีผ่านการไปร้านนั่งดื่มกับคมสัน เธอหนีออกจากบ้าน ละทิ้งชีวิตในระบบการศึกษาโดยให้เหตุผลว่าเธอเบื่อเนื้อหาที่ต้องเรียน เบื่อบรรยากาศโรงเรียน เบื่อกฎเกณฑ์ของสังคม และเบื่อความไม่เข้าใจของที่บ้านว่าเธอเบื่อ จอยจึงหนีออกจากบ้านและลงเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน รู้อะไรก็ได้ที่อยากรู้ หัดพูดภาษาสเปน และอื่น ๆ แล้วแต่ความสนใจจะพาไป

“เธอหาเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นเพื่อนเที่ยว เธอรับงานในขอบเขตที่เธอพอใจจะรับ และปฏิเสธเมื่อเธอไม่พอใจจะรับ ไม่ผ่านนายหน้า ไม่มีสังกัด ตัดสินใจด้วยตัวเองล้วน ๆ เธอวางตัวไว้ในตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้าของเธอไม่ใช่คนที่พึงใจกับรูปลักษณ์พิมพ์นิยม หรือต้องการเซ็กซ์เร้าใจบริการดุจแฟน ไม่เลยนั่นไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าของเธอคือคนที่อยากเที่ยวกับจอย ฟังดูหยิ่งผยองสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นดารา และไม่มีใครรู้จัก” (หน้า 62)

เวลาที่ยืดหยุ่นและไม่ตายตัวทำให้จอยมีอิสระในการรับงานได้ตามใจของเธอ หากทำแล้วไม่ชอบก็เลิกทำ เช่น การเป็นเด็กนั่งดริงค์ เป็นดังที่จอยว่าเธอไม่ได้ขายตัวแต่เธอขายเวลาเพื่อให้ลูกค้าซื้อบริการด้านความสัมพันธ์จากเธอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคุยหรือเพื่อนเที่ยวก็ตาม ธุรกิจของจอยมีลูกค้ามาใช้บริการอยู่เรื่อย ๆ ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยด้วยอาชีพนี้ แต่ก็พอจะทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีอิสระ ลงเรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียนจอยไม่ได้ภูมิใจและชื่นชมงานนี้พอ ๆ กับที่ไม่ได้เกลียดเธอไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากเป็นวิธีหนึ่งในการหาเงินเท่านั้น เธอไม่สนใจคำครหาที่ว่าเธอขายตัว เพราะเชื่อว่าคนเราต้องขายตัวเองในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอยู่แล้ว การเอาของที่มีไปแลกเปลี่ยนกับของที่ไม่มีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ชาลีรู้จักจอยด้วยเงินสองพันห้าร้อยบาท ราคานั้นไม่มีใครบอกได้ว่าถูกหรือแพง กล่าวคือ ราคาสองพันห้าร้อยบาทต่อการพบกันหนึ่งครั้ง ครั้งละหนึ่งชั่วโมงครึ่งเป็นความเต็มใจที่จะจ่ายของชาลี (willingness to pay) เพื่อรับบริการจากเด็กสาวซึ่งไม่ได้อยู่ในลักษณะของการมีสัมพันธ์ทางเพศ หากแต่ชาลีซื้อเวลาจากจอยให้มานั่งเป็นเพื่อนเฉย ๆ หรือเปลี่ยนอากาศในคอนโดฯ ของเขาเท่านั้น

ในทางกลับกันแม้เงินจากการทำงานจะสามารถจับจ่ายสินค้าได้ทุกอย่างแม้กระทั่งเวลาและความสัมพันธ์แล้ว ความหนักหนาสาหัสจากการทำงานก็เป็นตัวบ่อนทำลายความสัมพันธ์เช่นกัน ชาลีกับจอยแฟนเก่าของเขา ซึ่งไม่ใช่จอยคนเดียวกันกับเด็กสาววัยสิบเจ็ดปี ชีวิตคู่ของชาลีดำเนินไปอย่างจืดชืด ไม่มีอนาคต ไม่มีแผนการแต่งงาน ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย การบอกเลิกของจอยไม่ได้ทำให้ชาลีรู้สึกเป็นทุกข์ขนาดหนัก ในแง่มุมหนึ่งความรักและความสัมพันธ์ในระบบทุนนิยมมีลักษณะหมิ่นเหม่ พร้อมสั่นคลอนได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในมุมของแรงงานอย่างชาลีซึ่งไม่ได้วิ่งตามความสำเร็จ แต่เป็นการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดไปวันต่อวัน ขณะที่แฟนเก่าของชาลีอาจมองว่าความรักเป็นการผูกมัดหลายสิ่งอย่างซึ่งหนักหนามากเกินไปสำหรับการใช้ชีวิตที่เคร่งเครียด ความรักจึงเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า ความใกล้ชิดสิ่งที่แรงงานจะต้องแบกรับชาลีสามารถอดทนต่อความไม่เป็นเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานได้ตลอดแปดปีที่ผ่านมาซึ่งไม่ใช่กับจอย เธอไม่มาสามารถอดทนอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ชาลีเองรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ที่หยุดนิ่งระหว่างพวกเขามาโดยตลอดในที่สุดความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จบลงในปีที่เจ็ด พร้อมกับการลาออกของจอยในเวลาต่อมา

 

การฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี

          ความพยายามในการฆ่าตัวตายครั้งที่สามของชาลีล้มเหลวอีกครั้ง เมื่อเขาพบว่าตัวเองกระโดดจากตึกลงมาแล้วไม่ตาย สิ่งเดียวที่หายไปมีเพียงกระเป๋าสตางค์และเอกสารส่วนตัวที่อยู่ในนั้น จอยสังเกตเห็นความผิดปกติหลายอย่างในตัวชาลีจึงพาเขาไปพบกับตัวละครผู้เฒ่าเต่า ซึ่งเป็นคนที่ทำให้ชาลีเชื่อว่ามีชาลีอีกคนในโลกใบนี้และเขาต้องออกตามหาเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการฆ่าตัวตายของตัวเองให้สำเร็จ ชาลีละทิ้งงานในกรุงเทพฯ เพื่อเดินทางไปพบกับชาลีอีกคนที่เชียงใหม่ ผู้เป็นเจ้าของหนังสือที่เขาได้อ่านและรู้สึกราวกับเป็นผู้เขียนเรื่องนั้นด้วยตัวเอง นิยายจบลงที่ชาลีหยิบปืนลูกซองออกมาแล้วลั่นไก ชาลีตายแล้วหรือชาลียังมีชีวิตอยู่ หรือในโลกของเรามีชาลีอีกหลายคนที่ดำรงอยู่แต่เราไม่ได้สังเกตเห็น หรือแท้จริงแล้วพวกเราคือ ชาลี

สิ่งที่นิยายชี้ให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง คือ กลไกของระบบทุนนิยมไม่เพียงแต่ทำงานในชีวิตการทำงานของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเกาะกินไปถึงความคิดที่แสดงผ่านพฤติกรรมของผู้คน การฆ่าตัวตายของชาลีจึงเป็นสัญญะที่สำคัญและแก่นของเรื่อง เหตุใดชาลีจึงต้องฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ และทำไมจึงยังไม่ตายการฆ่าตัวตายในเรื่องเป็นสัญลักษณ์แทนความฝันและความตั้งใจของมนุษย์เงินเดือนที่อยากจะมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง แต่ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดในชีวิตโดยเฉพาะฐานะทางเศรษฐกิจ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นยังคงติดอยู่ในลูปเดิม ๆ มีชีวิตอยู่ในคอกสี่เหลี่ยมต่อไปเพื่อทำงาน 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น การฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ ของชาลีจึงมีนัยยะว่าแรงงานในระบบทุนนิยมค่อย ๆ ทำลายความฝันทีของตัวเองไปทีละอย่างจนไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยว และอุทิศชีวิตให้กับการขับเคลื่อนทุนนิยม

สุดท้ายแล้วนิยายเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จสำหรับทุกคนอันเป็นลักษณ์ของวรรณกรรมเชิงสร้างสรรค์ซึ่งมักจะจบลงแบบปลายเปิดเพื่อให้ผู้อ่านตีความและขบคิดต่อไป โดยเชื่อว่าคำตอบอยู่ที่แต่ละคน การแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับพื้นฐานและประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคลเช่น ชาลีมีปัญหาแบบนี้เขาจึงเลยเลือกวิธีการแก้ปัญหาแบบนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าทางเลือกเช่นนั้นใช่วิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ปลายทางอาจะใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการก็เป็นไปได้ นิยายไม่ใช่คู่มือที่จะชี้แนะเส้นทางให้กับผู้อ่านแต่เป็นการชวนให้ร่วมกันค้นหาและต่อรองกับการใช้ชีวิตที่เรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้ การดำเนินเรื่องของนิยายเป็นเริ่มต้นด้วยการปูพื้นเพชีวิตของตัวละครตั้งแต่การเติบโตมาในครอบครัวของชาลี ความสัมพันธ์ของเขาและครอบครัว การดำเนินชีวิตตั้งแต่วัยเรียนจนถึงวัยทำงานที่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีชีวิตจืดสนิท ไม่มีความท้าทายใด ๆ ในชีวิต จนกระทั่งได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนโดยใครสักคน จนชาลีต้องออกตามหาและเชื่อว่ามี “ชาลี” อีกคน ในแต่ละช่วงของเนื้อหามีการนำเพลงมากำหนด moodand toneของเรื่อง ซึ่งจังหวะการนำเสนอมีลักษณะของเป็นภาพยนตร์ มีทั้งภาพและเสียงเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านจินตนาการถึง และเพลงที่นำมาประกอบฉากเป็นส่วนหนึ่งของการสื่ออารมณ์และความรู้สึกในแต่ละเหตุการณ์ ทั้งนี้ ฉากสุดท้ายของเรื่องพิชาเลือกใช้เพลง Champagne supernova ของ Oasisเป็นภาพรวมของอารมณ์ในนิยายเรื่องนี้ซึ่ งหากเปิดฟังไปด้วยจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้มากขึ้น

อ้างอิง

พิชา รัตนานคร, Champagne supernova และการฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายของชาลี, (กรุงเพทมหานคร: จงสว่าง,
        2566)
สรวิศ ชัยนาม, ทำไมต้องตกหลุมรัก Alain Badiou ความรัก และลอปสตอร์, (กรุงเทพมหานคร: อิลลูมิเนชันส์
        เอดิชันส์, 2565)

Visitors: 101,473