2025D07
ทำอย่างไรรักจึงจะดำรงอยู่: การชี้นำมุมมองความรักที่งดงาม หรือโหดร้ายเกินความเป็นจริง
ธวัชชัย คงถาวร
“ต้องทำยังไงความรักถึงไม่จบลง เธอรู้วิธีไหม”
คำถามอันทรงพลังนี้ถูกตั้งขึ้นในนาทีที่เจ็ดของภาพยนตร์เรื่อง April Come She Will (เมษายน พาใครบางคนกลับมา) ซึ่งดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ คาวามูระ เก็งคิ นักเขียน ผู้มีบทบาทสำคัญในวงการภาพยนตร์และแอนิเมชันของญี่ปุ่น ฉายครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567 ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่องอย่างดี คำถามดังกล่าวถูกตั้งขึ้นโดย ซากาโมโตะ ยาโยอิ สัตวแพทย์หญิงซึ่งกำลังจะแต่งงานกับ ฟูจิชิโระ ชุน จิตแพทย์ผู้เคยรักษาอาการนอนไม่หลับของเธอ เธอตั้งคำถามนี้กับว่าที่สามีเมื่อรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ และการที่เธอไม่ได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมา ส่งผลให้เธอหายตัวไปจากบ้านพักของพวกเขาอย่างไร้ร่องรอย
ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยทิวทัศน์อันงดงามของทะเลเกลืออูยูนีในประเทศโบลิเวียร์ เพื่ออธิบายภูมิหลังของฟูจิชิโระ ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กับ อิโยดะ ฮารุ ขณะศึกษาในมหาวิทยาลัย ทั้งสองรักการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังวางแผนเพื่อเดินทางไปบันทึกภาพดวงอาทิตย์ขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก แต่เนื่องจากความฝันของพวกเขาขัดแย้งกับความต้องการของ อิโยดะ มาโมรุ บิดาของฮารุ ที่กลัวว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวจะจากเขาไปเช่นเดียวกับภรรยาที่นอกใจ ความสัมพันธ์ในวัยแรกแย้มจึงดับลง ทว่าหลังจากเลิกรากันไป ฮารุที่ร่างกายไม่แข็งแรงและทราบว่าตนเหลือเวลาชีวิตไม่มาก จึงตัดสินใจเดินทางไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ที่ทั้งคู่เคยวางแผนไว้ เพื่อบันทึกภาพสถานที่เหล่านั้น ซึ่งเธอเคยละทิ้งโอกาสในการเดินทาง รวมถึงทิ้งโอกาสที่จะมีความรัก และเขียนจดหมายถึงเขาก่อนที่ชีวิตของเธอจะสิ้นสุดลง เหลือไว้เพียงภาพถ่ายที่สะท้อนว่าเธอมองเห็นคุณค่าของความรักอย่างแท้จริง
เมื่อพิจารณาจากนวนิยายต้นฉบับ ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวของฟูจิชิโระและยาโยอิที่เริ่มรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ แม้จะจัดเตรียมพิธีแต่งงานไว้บ้างแล้ว ทั้งสองเริ่มตามหาความหมาย และความรู้สึกที่แท้จริงของตน จนฟูจิชิโระต้องทบทวนอดีตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตนและฮารุ ซึ่งเขาเคยรักมาก เพื่อเปรียบเทียบระหว่างหญิงที่เขามั่นใจว่ารัก กับหญิงที่เขาเริ่มไม่มั่นใจว่ายังรักหรือไม่ในปัจจุบัน เขาเผชิญกับบททดสอบทางจิตใจมากมายจากคนรอบข้าง ซึ่งส่งผลให้เขาขาดความมั่นคงในความรู้สึกมากยิ่งขึ้น กระทั่งยาโยอิหนีออกจากบ้านไป เขาจึงต้องทำความเข้าใจความรู้สึกของตนอย่างลึกซึ้ง แล้วเดินทางตามไปพบเธอในที่สุด อันแสดงถึงการก้าวผ่านความสับสน เพื่อมุ่งสู่ความรักที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
แต่สื่อภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวที่ลึกซึ้งผ่านการตั้งคำถามของยาโยอิที่ว่าด้วยวิธีรักษาความรักให้ดำรงอยู่เท่านั้น เมื่อเธอหนีออกไปจากบ้านพัก ฟูจิชิโระที่ไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของเธอจึงออกตามหาในสถานที่ต่าง ๆ ที่เธอน่าจะเดินทางไป ทว่ากลับไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อย แต่ระหว่างตามหาตัวเธอ เขามีโอกาสพูดคุยกับคนรอบตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ทาสุคุ รุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของบาร์ ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โคอิซุมิ นานะ รุ่นพี่ผู้ทำงานจิตแพทย์เช่นเดียวกับเขา และ ซากาโมโตะ จุน น้องสาวเพียงคนเดียวของยาโยอิ ทำให้เขาได้พบทั้งเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว และได้ทบทวนอดีตของตนขณะที่รู้จักยาโยอิในฐานะคนไข้ รวมถึงมีโอกาสได้เปรียบเทียบลักษณะความสัมพันธ์ที่หม่นมองลงเมื่อมองมาจากอดีต หลังจากพบหมายที่แสดงความรู้สึกของยาโยอิ
ท้ายที่สุด เขาได้รับการติดต่อจากเพื่อนสมัยเรียนเพื่อแจ้งข่าวการเสียชีวิตของฮารุ และเดินทาง ไปยังสถานบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายตามคำขอของเพื่อนเขา ที่นั่น เขาได้รับกล้องฟิล์มซึ่งบรรจุความทรงจำมากมายระหว่างการเดินทางที่ยาวนานของฮารุ เขาจึงนำมันกลับมายังมหาวิทยาลัย เพื่ออัดฟิล์มเป็นภาพถ่าย และพบภาพของยาโยอิอยู่ในนั้น เธอที่รู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันพันธ์และทราบว่าฮารุนิยามว่าที่สามีของเธอในอดีตว่าเป็น “คนที่สำคัญว่าตนเอง” จากจดหมายที่ถูกส่งมา จึงเดินทาง มาพบเธอเพื่อเรียนรู้ความรู้สึกรักที่ตนทำหล่นหาย ฟูจิชิโระที่พบเบาะแสสำคัญพร้อมทบทวนความรู้สึก ของตนอย่างลึกซึ้งกระทั่งตอบคำถามของยาโยอิได้ จึงเดินทางมาพบเธอเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ในที่สุด
เมื่อมองอย่างผิวเผิน สื่อภาพยนตร์พยายามนำเสนอเรื่องราวในอุดมคติ ที่พยายามสร้างอารมณ์สะเทือนใจเพื่อไม่ให้เรื่องราวหลุดลอยจากความเป็นจริงนัก ดังนั้น การที่ภาพยนตร์พยายามนำเสนอภูมิหลังของตัวละครที่มักล้มเหลวในความสัมพันธ์ จึงอาจเป็นการชี้นำให้ผู้ชมมองว่า “ความรักมักต้องจบลง” ซึ่งสังคมปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสะท้อนให้เห็นว่าความรักเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ทั้งยังต้องใช้สินค้าแสดงอัตตา เช่น น้ำหอม เครื่องประดับ ฯลฯ เป็นองค์ประกอบ ความรักที่แท้จริงจึงเลือนหายไปจากสังคมแล้ว แต่ผู้วิจารณ์ต้องการชี้ให้เห็นว่า ภาพยนตร์อาจกำลังชี้นำมุมมองต่อความรักที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
กับดักแห่งความเสียใจที่ไม่มีผู้ใดหลุดพ้น สักวันความรักก็ต้องจบลง
ภาพยนตร์สามารถใช้เวลาเพียง 25 นาที เพื่อวางกับดักให้ผู้คนคล้อยตามแนวคิดด้านลบเกี่ยวกับความรัก ซึ่งจะสร้างน้ำหนักของอารมณ์สะเทือนใจในจุดสุดท้ายได้เป็นอย่างดี ด้วยเวลาประมาณหนึ่งในสี่ส่วนนั้น ภาพยนตร์นำเสนอสถิติที่ว่า “ผู้คนในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมักไม่มีคู่สมรสหรือคนรักและวัยผู้ใหญ่ตอนกลางไม่มีแผนที่จะแต่งงาน ทำให้ความรักเริ่มเลือนหายไปจากสังคมเมือง” รวมถึงนำเสนอว่าตัวละครทาสุคุจบความสัมพันธ์กับคนรักร่วมเพศหลายครั้ง ทั้งยังสอดแทรกภูมิหลังของฟูจิชิโระและฮารุ ซึ่งบิดามารดาของเขาและเธอต่างผ่านการหย่าร้าง ก่อนที่ในเวลาต่อมา พวกเขาก็เลิกรากัน
การนำเสนอภาพความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวหลายครั้งนำไปสู่การชี้นำว่าความรักมักต้องจบลงซึ่งไม่ว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อทัศนคติของผู้ชมอย่างไร แต่ภูมิหลังต่าง ๆ กลับมีอิทธิพลต่อมุมมองในปัจจุบันของตัวละคร อีกทั้งยังกลายเป็นภาพแทนของความรักที่เป็นความจริงในสังคมที่ภาพยนตร์สร้างขึ้น ทัศนคติที่เลวร้ายต่อความรักนี้จึงส่งผลให้ตัวละครสำคัญหลายคนมีมุมมองด้านลบต่อความรัก ซึ่งนำไปสู่ปมปัญหาต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอในเวลาต่อมา
นอกจากความสัมพันธ์ของฟูจิชิโระและฮารุ ที่จบลงเนื่องจากมาโมรุกลัวว่าบุตรสาวจะจากเขาไปเช่นเดียวกับภรรยา อันแสดงให้เห็นผลกระทบจากภาพความสัมพันธ์ที่มักจะล้มเหลวแล้ว ผู้วิจารณ์มองว่าทัศนคติที่ยาโยอิมีในช่วงที่เป็นคนไข้ของฟูจิชิโระ ก็ได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากภาพดังกล่าวเช่นกัน
ก่อนจะเข้ารับการรักษาจากฟูจิชิโระ เธอกำลังจะแต่งงานกับชายผู้แสนดีคนหนึ่ง ซึ่งเขารักและดูแลเธออย่างดี ทว่าเธอกลับ “รู้สึกผิดเมื่อมีความสุข” เนื่องจากเธอได้รับอิทธิพลจากแนวคิดที่ว่าความรักมักต้องจบลง เธอจึงหวาดกลัวอนาคตที่อาจไม่สดใสนัก ส่งผลให้เธอวิตกกังวลและหนีจากการแต่งงาน กับคนรักเก่า ความกังวลของเธอนำไปสู่ทัศนคติที่ว่า “ถ้าไม่ต้องการให้ความรักจบลง เราก็ต้องไม่ครอบครองความรัก” เพราะเมื่อความรักที่ครอบครองหลุดลอยไป ความเสียใจที่มหาศาลจะเข้าจู่โจมเธอในทันที ทัศนคติดังกล่าวส่งผลให้เธอพยายามจบความสัมพันธ์กับฟูจิชิโระ ซึ่งกำลังพัฒนาขึ้น จากการเป็นจิตแพทย์และคนไข้สู่สิ่งอื่น ทว่าฟูจิชิโระตัดสินใจแสดงให้เธอเห็นความพยายามที่จะรักษาความรักให้ดำรงอยู่ เธอจึงตัดสินใจโอบรับความรัก และไม่วิตกกังวลกับความสัมพันธ์ที่อาจสั่นคลอนในอนาคตอีก เป็นการแสดงให้เห็นว่า แม้สังคมจะหล่อหลอมให้ผู้คนมีมุมมองเชิงลบต่อความรักผู้คนก็ยังคงมีความหวังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ดีเสมอ
แต่ราวกับภาพยนตร์พยายามจะตอกย้ำว่าความรักมักต้องจบลง เนื่องจากภาพความสัมพันธ์อันงดงามในอดีตที่ถูกนำเสนอเป็นขั้วตรงข้ามกับความสัมพันธ์ในปัจจุบันของพวกเขา ภาพยนตร์แสดงภาพของฟูจิชิโระที่ตัดสินใจซื้อบ้านพัก และเข้ามาอยู่ร่วมกับเธอภายในเดือนเมษายน เพื่อขจัดความคิดด้านลบที่เธอมีต่อเดือนนี้ เป็นขั้วตรงข้ามกับภาพในปัจจุบันที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มองว่า เดือนนี้เป็นเดือนที่พิเศษนัก ภาพที่พวกเขาบรรจงเลือกแก้วไวน์ร่วมกันแสดงถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เมื่อในปัจจุบันฟูจิชิโระสามารถเก็บไปทิ้งโดยไม่โศกเศร้า หลังยาโยอิเผลอทำมันแตก ภาพเปียโน และกระดาษโน้ตภายในบ้าน ที่ทำให้ย้อนคิดถึงภาพขณะที่พวกเขากำลังจัดเตรียมงานแต่งงาน ซึ่งแสดง ให้เห็นว่าฟูจิชิโระไม่ทราบว่าเธอเล่นเปียโนเป็น และภาพการร่วมรักที่ลึกซึ้ง ซึ่งขัดกับการแยกห้องนอน อย่างชัดเจน แม้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานแล้ว ภาพความรักที่กำลังพลิบานซึ่งภาพยนตร์กำลังนำเสนอ จึงเปรียบเหมือนดอกไม้ที่รอวันเหี่ยวเฉาในอนาคตอันใกล้ อาจเป็นการโน้มน้าวให้ผู้ชมกลับมาทบทวนว่า “หรือแท้จริงความรักมักต้องจบลง”
ต้องทำยังไงความรักถึงไม่จบลง เธอรู้วิธีไหม
“ถ้าไม่อยากให้ความรักจบลง เราก็ต้องไม่ไปครอบครองมัน” เป็นคำตอบของยาโยอิและเป็นคำลวงของภาพยนตร์ที่อาจส่งผลให้ผู้คนล้มเลิกที่จะรัก แต่แท้จริงแล้ว ภาพยนตร์กำลังพยายามจะชี้ให้เห็นการปลดปล่อยตนเองออกจากปัญหาที่ยากจะแก้ไขในความรัก ผ่านการเดินทางของเหล่าตัวละครเอกซึ่งเรียนรู้ที่จะฟื้นฟูความรักที่ตนทำหล่นหาย ระหว่างการดำเนินชีวิตในบทบาทแตกต่างกัน อันเป็นการชี้นำให้ผู้ชมปรับเปลี่ยนมุมมองต่อความรักที่โหดร้าย และเลือกมีความรักที่มีความสุขอย่างยั่งยืน
คำตอบที่ฟูจิชิโระพบจากจดหมายของยาโยอิ แม้จะไม่ใช่เบาะแสในการตามหาตัวเธอ แต่เป็นเบาะแสในการตามหาสิ่งที่พวกเขาทำหล่นหายไปอย่างดี เธอชี้ให้ฟูจิชิโระเห็นการละเลยความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในความสัมพันธ์ แม้เขาจะดูแลเธอทางกายภาพอย่างดี ทั้งการเลี้ยงอาหารในวันคล้ายวันเกิด การทำความสะอาดบ้านพักที่อาศัยร่วมกัน และการเก็บเศษแก้วที่เธอทำแตก ซึ่งผู้วิจารณ์เคยมองว่าเขา ทำหน้าที่เป็นคนรักที่ดี แต่เมื่อมองให้ลึกซึ้งขึ้นแล้ว เขากลับทำทุกสิ่งข้างต้นด้วยสภาวะทางอารมณ์ที่เรียบเฉย ไร้ซึ่งความยินดีในโอกาสพิเศษ และไม่มีความวิตกกังวลในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
การกระทำของฟูจิชิโระแสดงถึงการทำตามหน้าที่โดยขาดความรู้สึกรักที่แท้จริง สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันที่ผู้คนมักถูกผูกโยงเข้ากับสถาบันทางสังคม การสร้างสถานะทางสังคมของผู้คนถูกกำหนดในฐานะ “หน้าที่” ที่ทุกคนต้องทำแม้ไม่มีผู้ใดมอบหมาย โดยสถาบันที่ผู้คนถูกผูกโยงเข้ากับมันมากที่สุดคือสถาบันการทำงาน ซึ่งมอบ “หน้าที่” แลกกับ “ค่าตอบแทน” อันเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต การตัดขาดกับสถาบันการทำงานจึงเป็นการสูญเสียโอกาสสำหรับ การรักษาชีวิตในปัจจุบัน และจากที่กล่าวว่า การสร้างความรักในบางแง่มุมเกี่ยวข้องกับการใช้สินค้าแสดงอัตตา การทำงานเพื่อค่าตอบแทนจึงเป็นสิ่งสำคัญขึ้นอย่างยิ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการทำหน้าที่และความรัก ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ทำเพราะความจำเป็น กับสิ่งที่ต้อง ตั้งใจทำอย่างลึกซึ้ง แต่ในขณะนี้ ฟูจิชิโระกลับมองสองสิ่งในฐานะสิ่งที่ทำเพราะความจำเป็นเหมือนกัน
เมื่อมองความรักในอีกแง่มุมหนึ่ง ความรักในสมัยใหม่เป็นความรักที่สัมพันธ์กับแนวคิดบริโภคนิยม กล่าวคือ ความรักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยพรหมลิขิตและโชคชะตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมได้ กระนั้น การรักษาความรักให้ดำรงอยู่กลับเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ผ่านการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ความรักจึงเป็นสิ่งที่สลับไปมาระหว่างขั้วตรงข้าม โดยเฉพาะการเลือกให้เกิดไม่ได้ และการรักษาให้คงอยู่ได้ การที่ความรักเลือกให้เกิดไม่ได้ถูกอธิบายผ่านประสาทวิทยาศาสตร์และสรีรวิทยาที่อธิบายว่า ความรักเกิดจากสารเคมีในสมอง ความลงตัวของฮอร์โมนส่งผลให้มนุษย์เกิดความรู้สึกรักกับอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่นำพาให้มนุษย์มีความรักต่อกันคืออารมณ์ ซึ่งผู้คนในปัจจุบันมักเห็นด้วยกับคำอธิบายดังกล่าว แต่หากกล่าวว่า เมื่ออีกฝ่ายแสดงการกระทำที่ส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ เราควรปล่อยให้ความสัมพันธ์จบลงตามที่สารเคมี ในสมองพยายามกระซิบบอกหรือไม่ ผู้คนมักจะมองว่ามนุษย์มีเหตุผลกว่านั้น และเราสามารถใช้เหตุผลเพื่อปรับความเข้าใจและรักษาความสัมพันธ์ได้ ความรักจึงมีความสลับไปมาระหว่างความรักโรแมนติก และความรักบรรจบ คือการยอมรับความรักที่โชคชะตากำหนดให้ แต่ต้องฝืนไม่ให้สภาวะต่าง ๆ พรากความรักไปได้ เมื่อรวมแนวคิดความรักในปัจจุบันกับการต้องทำหน้าที่ของปัจเจกเข้าด้วยกัน จึงกอรปเป็นความขัดแย้งของการต้องพยายามเอาใจใส่ความสัมพันธ์ และต้องทำหน้าที่ของตนในสังคมด้วย ส่งผลให้การรักษาความรักในปัจจุบันควบคู่กับการมีตัวตนที่พร้อมในการใช้ชีวิตในสังคมเป็นความท้าทาย
หากภาพยนตร์นำเสนอภาพของฟูจิชิโระที่เล็งเห็นความสำคัญของการเอาใจใส่มากขึ้นเพียงอย่างเดียว อาจเป็นการตอกย้ำว่าภาพยนตร์เพียงต้องการเสนอภาพความรักในอุดมคติที่งดงาม ซึ่งตัวละครเอกปลดปล่อยตนเองจากภาระหน้าที่ต่าง ๆ รวมทั้งจัดสรรเวลาสำหรับการเอาใจใส่คนรัก เพื่อให้เรื่องราวจบลงแบบสุขนาฏกรรม แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจะชี้นำให้ผู้ชมมองเห็นแง่มุมของการเอาใจใส่ที่ลึกซึ้งกว่านั้น อันจะสร้างน้ำหนักให้กับแนวคิดที่ว่า “ความรักสามารถรักษาให้คงอยู่ได้ ผ่านการใส่ใจซึ่งกันและกัน”
ตัวละครฮารุมีบทบาทสำคัญในช่วงท้ายของภาพยนตร์นี้เอง การที่เธอนิยามฟูจิชิโระเป็นคนที่สำคัญกว่าตนเอง แสดงถึงการให้ความสำคัญกับความรักเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้ยาโยอิที่กำลังไม่มั่นคงในความรู้สึกเดินทางมาพบเธอ
สิ่งที่ยาโยอิได้เรียนรู้ผ่านชีวิตของฮารุซึ่งเหลือเวลาไม่มากนั้น เป็นการเลือกให้ความสำคัญกับความรักอย่างแท้จริง ในอดีตฮารุเคยเลือกให้ความรักมีความสำคัญรองจากสิ่งอื่น ทำให้ความสัมพันธ์กับฟูจิชิโระต้องจบลง แต่เมื่อเธอมีเวลาในชีวิตน้อยลง เธอจึงตระหนักว่าตนยังขาดความรักซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการ เธอจึงเดินทางตามความฝันที่มีร่วมกับคนรักในอดีตเพื่อชดเชยโอกาสที่เธอเคยเสียไป อันจะทำให้ชีวิตของเธอจบลงอย่างสมบูรณ์ มุมมองของฮารุอาจเป็นการชี้นำให้ผู้ชมเล็งเห็นว่า แม้การทำตามหน้าที่ที่ตนมีในสังคมจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิต แต่การมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์มักจะนำมาซึ่งความเสียใจในบั้นปลายของชีวิต ซึ่งในขณะนั้นเราอาจสูญเสียกำลังที่จะเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายนั้นได้แล้ว
ผู้วิจารณ์จึงมองว่า ภาพยนตร์กำลังชี้นำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับความรักมากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอความโหดร้ายของความรักในช่วงแรก เพื่อชี้นำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมจากการรับชมภาพความเป็นจริงในสังคม จากนั้นจึงเริ่มแสดงให้เห็นว่าผู้คนมักมีความหวังต่อความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น โดยหวังว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวจะงอกเงยและคงอยู่ตลอดไป ทำให้ผู้ชมได้หวนระลึกถึงช่วงเวลาที่ความรักของตนกำลังผลิบาน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักมีความหวังและไม่คำนึงถึงจุดสิ้นสุดของมันนัก เพียงแต่เมื่อความรักดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง ผู้คนมักเล็งเห็นจุดพลิกผันที่อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์สิ้นสุดลง ค่านิยมว่าความรักเป็นสิ่งที่ยากแก่การรักษาจึงแพร่กระจายและเติบโตขึ้น ท้ายที่สุด ภาพยนตร์จึงนำเสนอภาพการยึดมั่นในความรักของฮารุ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้ชมนึกถึงชีวิตในช่วงสุดท้ายที่อาจบริบูรณ์ด้วยปัจจัยต่าง ๆ แต่ยังไร้ซึ่งความรัก เกิดเป็นการตั้งคำถามว่าด้วยความสมบูรณ์ของชีวิต ซึ่งหากไม่สามารถจบลงได้อย่างบริบูรณ์แล้ว เราอาจต้องให้ความสำคัญกับความรักตั้งแต่บัดนี้ โดยปลดปล่อยตนออกจากหน้าที่ต่าง ๆ รวมถึงจัดสรรเวลาเพื่อความรัก อันจะทำให้ชีวิตที่ยังดำรงอยู่ในอนาคต เป็นชีวิตที่มีความสุข
ภาพยนตร์เรื่อง April Come She Will (เมษายนพาใครบางคนกลับมา) จึงไม่ได้พยายามชี้นำให้ผู้ชมมองว่าความรักเป็นสิ่งที่โหดร้าย แต่พยายามจะชี้นำให้ผู้ชมมองว่าความรักจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตถูกเติมเต็ม อันเป็นสิ่งสำคัญต่อสังคมร่วมสมัยที่มักละเลยความรัก เนื่องจากค่านิยมที่มองว่าความรัก เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แต่แท้จริงแล้ว ความรักกลับเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความบริบูรณ์ของปัจจัยต่าง ๆ อันจะช่วยให้ปัจเจกเข้าถึงชีวิตที่สมบูรณ์ด้วยความสุขอย่างแท้จริง