Drive My Car (2021) แผลบาดลึกกับชีวิตที่ต้องก้าวเดินต่อไป

ปาณัสม์ ไทยภักดี

 

 

            ฤดูรางวัลของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประจำปี 2024เพิ่งจะปิดจบไปพร้อมกับเรื่องปีติยินดีมากมายหลากหลาย ชวนให้ผู้เขียนนึกย้อนกลับไปในวันวานเก่า ๆ ที่ผู้เขียนชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มิใช่ลมกรรโชกโหมกระหน่ำแต่เป็นคลื่นใต้น้ำที่นุ่มลึกของฤดูรางวัล เรื่องราวของภาพยนตร์ที่มิใช่เรื่องราวยิ่งใหญ่ระดับชาติ มิใช่ภาพยนตร์ชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลก หากแต่เป็นเรื่องราวเล็ก ๆ ของเส้นทางการปลอมประโลมจิตใจชายหม้ายคนหนึ่งที่มีคำถามมากมายคับคั่งอยู่ในอกแต่ไม่มีวันจะได้รับคำตอบไปตลอดกาล ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะแทรกซึมไปติดค้างภายในใจของผู้ชมทุกคนที่ได้ดูจนจบ ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ “Drive My Car”

            “Drive My Car” คือภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่นที่ออกฉายในปี 2021 ได้รับรางวัลบทยอดเยี่ยม (Best Screenplay) จาก Cannes Film Festival รวมทั้งออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในปีนั้นไป ผลงานกำกับโดย Ryusuke Hamaguchi ดัดแปลงจากเรื่องสั้นในชื่อเดียวกันของนักเขียนญี่ปุ่นคนสำคัญชื่อก้องโลก Haruki Murakami ที่บรรจุไว้เป็นลำดับแรก ๆ ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “Men Without Women” ซึ่งถูกตีพิมพ์ต้นฉบับในปี 2014

            Ryusuke Hamaguchi ถือว่าเป็นผู้กำกับที่ผู้เขียนสนใจและจับตามองมาเสมอ ด้วยลีลาท่าทางการกำกับที่แยบคายและนุ่มลึก ภาพยนตร์ของเขามักจะเป็นเรื่องราวธรรมดา ๆ ของคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมที่รวดเร็วและเร่งรีบตลอดเวลา อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้า “Wheel of Fortune and Fantasy” ออกฉายในปี 2021 เช่นกันโดยเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวที่บรรจุภาพยนตร์ขนาดสั้นอยู่ด้วยกันสามเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวสามคนที่ต้องเผชิญกับโชคชะตาและความสัมพันธ์ในแบบต่าง ๆ ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านั้นออกไปทางพิลึกพิลั่นและแปลกประหลาด แต่ทุกเรื่องก็เต็มไปด้วยความสุขปนเศร้า เหงาปนวุ่นวาย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ปรากฏในภาพยนตร์ของ Hamaguchi มาตลอด หรือจะเป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่เพิ่งออกฉายอย่าง “Evil Does Not Exist” ที่เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชาวบ้านกับนายทุน เพื่อปกป้องแม่น้ำลำธารและธรรมชาติที่ถูกอนุรักษ์มารุ่นต่อรุ่น การกำกับของเขายังคงเฉียบคมและน่าฉงนในคราวเดียวกัน วิธีการที่เรื่องราวถูกดำเนินไปมักจะซุกซ่อนปริศนาหรืออะไรบางอย่างที่ถึงท้ายที่สุดแล้วผู้ชมก็ไม่ได้รับคำอธิบายที่ชัดเจน แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว นั่นคือเสน่ห์ที่ทำให้ภาพยนตร์ของเขาทำงานอยู่ในโสตประสาทและเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ใส่ความหมายของตัวเองเข้าไป ผู้เขียนขอเรียกว่ามันทำให้เกิด “ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาพยนตร์กับผู้ชม” ซึ่งนอกจากจะทำให้ภาพยนตร์เป็นมากกว่าความบันเทิงแล้ว ฟังก์ชั่นของการประเทืองปัญญา (Intellectuality)ก็เป็นหนึ่งในคุณค่าที่สำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์ติดค้างอยู่ในความทรงจำของผู้ชมตลอดไปซึ่งตัวผู้เขียนเองขอยืนยันว่าภาพยนตร์เรื่อง “Drive My Car” จะทำให้ผู้ชมทุก ๆ ท่านฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างระหว่างที่ชมและเมื่อเครดิตภาพยนตร์ปรากฏขึ้นบนหน้าจออะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในตัวของคุณจะต้องเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อยเป็นแน่

ลุงวานยา ?

            “ We'll live through the long, long days, and through the long nights. We'll patiently endure the trials that fate sends our way. Even if we can't rest, we'll continue to work for others both now and when we have grown old. And when our last hour comes we'll go quietly. And in the great beyond, we'll say to Him that we suffered, that we cried, that life was hard. And God will have pity on us… ”

                                                                                                                  -Sonya from Uncle Vanya

            บทพูดจากหนึ่งในละครเวทีเรื่องสำคัญของโลกรวมทั้งปรากฏในช่วงท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ Uncle Vanya โดย Anton Chekhov คือละครที่แก่นของเรื่องล้อมรอบความผิดหวังและความต้องการจะหาความหมายของชีวิต ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องของละครนั้นจะเป็นเหตุการณ์ส่วนปัจเจกอันน้อยคนจะประสบเหตุการณ์เดียวกันกับที่ได้รับชม หากแต่ประเด็นความโดดเดี่ยวและการใคร่รู้ในความหมายของชีวิตนั้นผู้เขียนเชื่ออย่างแน่นอนว่าทุก ๆ คนจะต้องเคยประสบเช่นเดียวกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น   

            เหตุผลที่ผู้เขียนเลือกจะเขียนถึง Uncle Vanya นอกจากจะเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ที่เราจะพูดถึงในเชิงประจักษ์แล้ว แต่ในเชิงเนื้อหาและการพัฒนาของตัวละครที่คลับคล้ายกันเหมือนเป็นละครบนโลกเดินดิน และเล่าคู่ขนานกันไปตลอดทั้งภาพยนตร์นั้น ไม่ต้องบอกผู้ชมก็รู้ได้ว่าทั้งสองส่วนต่างสาดสะท้อนซึ่งกันและกันนั่นเอง

            เดิมทีในหนังสือต้นฉบับมีการกล่าวถึง Uncle Vanya แค่เพียงเล็กน้อย ด้วยความที่เป็นเรื่องสั้นและมีเรื่องอื่นที่ต้องลงรายละเอียดก็ไม่แปลกที่จะไม่ได้ถูกพูดถึงเยอะในหนังสือ Hamaguchi เป็นคนที่สนใจจะนำเสนอ Uncle Vanya ให้มากขึ้นกว่าตอนเป็นหนังสือ ด้วยความรู้สึกเศร้า โดดเดี่ยว และการพังทลายลงของความหวังในชีวิตเป็นเหมือนสิ่งที่ผูกทั้งสองตัวละครเข้าด้วยกัน Kafuku สูญเสียลูกและภรรยาไป ซ้ำร้ายก่อนภรรยาจะตายก็ไปล่วงรู้ถึงสัมพันธ์ของเธอกับชายชู้ที่เป็นเพื่อนร่วมอาชีพ ทั้งยังไม่มีโอกาสได้ทำให้ปมปัญหานี้ได้คลายไป กลายเป็นว่า Kafuku ก็ต้องจำใจกดความขมขื่นของชีวิตและดำเนินชีวิตต่อไปทั้ง ๆ ที่ทุก ๆ อย่างที่เขาเคยคิดว่าเป็นที่พึ่งและสถานที่ปลอดภัยสำหรับเขาจะพังทลายมลายสิ้นไปแล้วก็ตาม ส่วนลุงวานยาผู้ที่โหยหาอดีตที่เสียไปอย่างว่างเปล่าของตน ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดและไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ใจหวัง ไม่ว่าจะหญิงที่ตนรักก็ไปรักกับคนอื่น หรือความพยายามที่จะฆ่าคนที่ตนแค้นนักแค้นหนาก็ไม่สำเร็จ ชีวิตของเขาดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความเศร้าและความล้มเหลวทุกอย่างที่เขาประสบก็ตอกย้ำสถานะของเขาไปอีก อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วว่าทั้งสองสื่อที่มีที่มาจากคนละที่กันนั้นถูกผูกกันด้วยชะตาที่น่าอนาถของเหล่าตัวละครหลัก ไม่แน่การที่ Kafuku เลือกที่จะเล่นและกำกับละครเวทีเรื่องนี้ก็เพื่อที่จะเป็นการบำบัดผ่านการถ่ายเทความโศกเศร้าที่เขามีสู่ตัวละครของเขาก็เป็นได้ เรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อเสนอของผู้เขียน คงจะมีเพียง Kafuku เท่านั้นที่จะล่วงรู้ความจริงข้อนี้ได้

 

ความสัมพันธ์ทับซ้อน

                        “Those who survive keep thinking about the dead. In one way or another, that will continue. You and I must keep living like that. We must keep on living. It’ll be OK. I’m sure.”

                                                                                                                                                -Kafuku from Drive My Car

            สืบเนื่องจากประเด็นที่เขียนไว้หัวข้อก่อน เมื่อเรามาลองพินิจแต่ละตัวละครดู ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัวพันกันระโยงระยางแต่เมื่อหลอมรวมกันไว้ในเส้นเรื่องเดียวกันแล้วกลับแนบเนื้อเนียนจนรู้สึกว่าตัวละครทุก ๆ ตัวต้องประสบกับทุกขเวทนาบางอย่าง ใหญ่บ้างเล็กบ้างต่างกันไปตามปัจเจก

            ถ้าหากเราจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้โดยหลีกเลี่ยงการพูดถึงตัวละครนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอแทบจะเป็นตัวละครเอกอีกคนเคียงคู่ไปกับ Kafuku ก็ว่าได้ เธอเป็นคนขับรถที่ถูกแต่งตั้งจากเทศกาลที่ Kafuku ถูกเทียบเชิญมาร่วมงาน ด้วยกฎของเทศกาลที่ห้ามให้ศิลปินขับรถด้วยตนเอง ตัวละครนั้นก็คือ Misaki Watari ถ้าเป็นภาพยนตร์โรแมนติกนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นพรหมลิขิตของสองตัวละคร แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้เขียนอยากอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ว่า “โชคชะตาที่นำพามาซึ่งการเยียวยากันและกัน”

            Watari เป็นหญิงวัย 20 ต้น ๆ สีหน้าของเธอเรียบเฉยตลอดเวลา น้ำเสียงเวลาพูดไม่มีสูงต่ำเหมือนกับไร้อารมณ์ แววตาของเธอแทบทั้งเรื่องจะนิ่งเฉยจนเดาอารมณ์ความรู้สึกภายในของเธอไม่ได้ แต่ใช่ว่าเธอจะปราศจากเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ตลอดทั้งเรื่อง Kafuku กับ Watari จะมีโอกาสร่วมเฟรมกันก็แค่ตอนที่เธอต้องขับรถ 1 ชั่วโมงจากที่พักสู่โรงละครในทุก ๆ วัน ในช่วงแรก Kafuku นั่งที่เบาะหลังและท่องบทไปตามประสากิจวัตรของเขา Watari เหมือนอันตรธานหายไปจากสายตา Kafuku กล้องจับภาพทั้งคู่ในระยะ Medium Close Up แต่เมื่อทั้งคู่ค่อย ๆ ได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้น เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวิธีการจัดการกับความทุกข์เหงาเศร้าหมองของตน Kafuku เล่าถึงภรรยากับกิจกรรมทางเพศของเธอที่จุดสุดยอดถูกเชื่อมเข้ากับการสานร้อยเนื้อเรื่องบทละครของเธอและเล่าถึงการที่เขาโทษให้ตนเองเป็นสาเหตุให้ภรรยาต้องตาย Watari เล่าถึงวัยเด็กที่แม่ของเธอทำงานกลางคืนและเธอต้องเป็นคนขับรถให้แม่ เธอต้องขับรถให้นิ่งที่สุดไม่ให้แม่ตื่นและโกรธจนมาทุบตีเธอ เพื่อนคนเดียวของเธอคือบุคลิกอีกหนึ่งบุคลิกของแม่ที่ชื่อว่า Sachi กับคำถามถึงความรักในฐานะผู้เป็นแม่ต่อเธอและความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้แม่ของเธอตายใต้บ้านที่ถล่มลงมา กล้องค่อย ๆ จับภาพทั้งคู่ใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ จนช่วงสุดท้ายของเนื้อเรื่องกล้องก็จับหน้าของทั้งคู่ด้วยระยะ Close Up ส่วน Kafuku ก็ย้ายจากการนั่งเบาะหลังมานั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ถ้าดูภาพยนตร์แบบผ่าน ๆ ผู้เขียนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะแนบเนียนจนไม่เห็นเป็นประจักษ์แต่ความรู้สึกของผู้ชมที่มีกับสองตัวละครคือพวกเขา “ใกล้ชิด” กันมากขึ้นในมิติทางด้านจิตใจและพื้นที่

            ผู้เขียนมองว่านี่เป็นความเก่งกาจของผู้กำกับ Ryusuke Hamaguchi ที่เลือกที่จะถ่ายทอดการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองตัวละครอย่างแยบคายแทนที่จะบอกอย่างโต้ง ๆ หรือที่ภาษาภาพยนตร์เรียกว่ามี Execution ที่ยอดเยี่ยม เป็นการเพิ่มมิติให้กับตัวละครและภาพยนตร์ ซึ่งถ้าบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปตกในมือผู้กำกับคนอื่น แน่นอนว่าการ Execution ก็จะแตกต่างออกไป แต่จะแย่ลงหรือดีขึ้นก็ไม่อาจทราบได้ เหมือนว่า Execution เป็นวิธีโชว์ของของผู้กำกับภาพยนตร์ว่าจะ “Show Don’t Tell” ให้ผู้ชมอย่างไรให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องและจังหวะของภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ ที่สุด อีกอย่างที่อดชมไม่ได้คือการแสดงของ Toko Miura ผู้รับบทเป็น Watariที่ถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาได้ว่าเธอนั้นกำลังกดความรู้สึกเจ็บปวดไว้ภายใต้หน้าตาเรียบเฉยที่เปรียบเป็นเกราะป้องกันสิ่งที่บอบบางและละเอียดอ่อนนั้นไว้นั่นเอง

            หรืออีกตัวละครที่เราเห็นการปรากฏตัวของเขาตั้งแต่ต้นเรื่องในฐานะชายชู้กับภรรยาของ Kafuku และปรากฏอีกรอบในฐานะนักแสดงที่มาเข้าคัดเลือก เขาได้รับบทเป็นลุงวานยาในช่วงแรกของภาพยนตร์ ชื่อของเขาคือ Koji Takatsuki เขาอายุแทบครึ่งหนึ่งของ Kafuku ได้ เราจะเห็นพลังของวัยรุ่น ความสดใหม่และทะเยอทะยานผ่านแววตาและความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ น้ำเสียงที่มั่นใจและชัดถ้อยชัดคำในทุก ๆ การเปล่งเสียง เราจะเห็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะจากสถานการณ์ในเนื้อเรื่องที่เขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อมีคนมาแอบถ่ายและพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง หรือความรู้สึกที่เขามีต่อภรรยาของ Kafuku ที่สำหรับเขาเป็นมากกว่าความสัมพันธ์ทางกาย เขารักเธอและยังคงรักแม้เธอจะตายไปแล้ว แต่ลึก ๆ ในใจเขารู้ว่า Oto (ภรรยาของ Kafuku) ไม่ได้รักตอบ ซ้ำทั้งการเล่นชู้เหล่านี้ของ Oto ก็มีบางอย่างแอบแฝงมากกว่าความสุขชั่วครั้งชั่วคราว เขารู้ถึงความจริงข้อนี้ แน่นอนว่าการรักกับคนที่เป็นไปไม่ได้นั้นคงจะเจ็บปวดแสนสาหัสแต่ก็เป็นความรู้สึกที่ถอนไม่ออก คำถามมากมายที่คั่งค้างในใจเขาคงไม่ต่างกับ Kafuku เศษซากของความรู้สึกนั้นจะไม่มีวันเน่าสลายหายไปและอาจจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวตนของเขาไปอย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้

            ตลอดทั้งเรื่องตัวละครนี้ดูจะมีแต่ปัญหารุมเร้าไม่หยุดไม่หย่อน ดำเนินมาจนถึงซีนที่อยู่ในรถกับ Kafuku ที่ความตึงเครียดถูกขับเคลื่อนด้วยการพูดคุยกันโดยมีการ “imply” ว่า Kafuku เองก็ทราบว่า Takatsuki เป็นชู้ของภรรยาตน Takatsuki ก็ “imply” ว่าตัวเขาเองยอมรับกับข้อกล่าวหานั้น ภายในรถ Kafuku พูดถึงการที่ภรรยาของเขามีพฤติกรรมบางอย่างที่จะเล่าเรื่องราวแสนบรรเจิดระหว่างทำกิจกรรมทางเพศ Takatsuki เล่าถึงเรื่อง ๆ หนึ่งที่เขาเคยฟังเกี่ยวกับเด็กสาวที่แอบเข้าไปในบ้านของชายหนุ่มที่เธอหลงใหล ทุกครั้งที่เธอเข้าไปเธอจะทิ้งเครื่องหมายบางอย่างไว้ทุกครั้ง วันหนึ่งขณะเธอกำลังทำธุระทางเพศบนเตียงของชายผู้นั้นแต่อยู่ ๆ กลับมีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้ามาในบ้าน แน่นอนว่า Kafuku เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาแล้วเพียงแต่เขาคิดว่าเรื่องนั้นจบเพียงเท่านี้และทิ้งให้ตัวตนของผู้บุกรุกเป็นปริศนาไป แต่จากเรื่องของ Takatsuki มันไม่ได้จบเพียงนั้น คนที่บุกเข้ามานั้นคือโจรที่เข้ามาเจอเด็กสาวนอนปราศจากเสื้อผ้าครึ่งล่างบนเตียงและพยายามเข้าไปกระทำชำเราเธอ เธอสู้สุดชีวิตและคว้าเอาปากกาทิ่มไปที่ตาข้างซ้ายของโจรหลังจากนั้นจึงแทงไปอีกหลายทีที่คอของโจรคนนั้นจนแน่นิ่งไป เธอกลับบ้านของเธอไปและทิ้งศพของโจรไว้ที่กลางบ้านเป็นเครื่องหมายประจำวันนี้ วันต่อมาเธอไปโรงเรียนพร้อมที่จะสารภาพกับชายหนุ่ม อย่างหมดเปลือก แต่กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่าไม่มีศพของคนแปลกหน้าอยู่กลางบ้าน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการใช้ Allegory หรืออุปมานิทัศน์โดยการใช้เรื่องเล่านี้ในการพูดถึงว่าหรือจริง ๆ แล้ว Oto ก็อยากให้ Kafuku รับรู้และต่อว่าเธออย่างที่ควรจะเป็น แต่ Kafuku กลับทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น การทำสิ่งนี้เป็นการเปิดเผยเรื่องให้กระจ่างชัดด้วยวิธีที่ชาญฉลาด Takatsuki เป็นตัวละครที่เราคิดในตอนแรกว่ามาในฐานะ Antagonist แต่กลับกลายเป็นว่าการที่เขาเป็นชู้นั้นทำให้เขากลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่มาคลายปมบางอย่างในใจ Kafuku และนำพาผู้ชมเข้าสู่ช่วงท้ายขององก์สองได้อย่างตราตรึงใจ

 

รถซาบเปิดประทุนสีแดง

          ภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายอย่างที่วิเศษและเป็นเหมือนมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ผู้ชมจดจ้องที่จอภาพอย่างไม่ละสายตา แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวของเรื่องคือพื้นที่ภายใน “รถซาบเปิดประทุนสีแดง” ในภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ความใกล้ชิดระหว่างตัวละครกับรถคันนี้ในการบอกเล่าสถานะบางประการ การยึดติด ความโดดเดี่ยว การปล่อยวาง หรือสถานะบางอย่างที่ปราศจากคำอธิบาย

            เราจะเห็นตั้งแต่ต้นเรื่องที่ภาพยนตร์พยายามเสนอให้ผู้ชมรับรู้ว่า Kafuku รักรถของตัวเองมาก ทั้งยังมีกิจวัตรประจำวัน ทุก ๆ ครั้งที่เขาขับรถจะต้องเปิดเทปเสียงของภรรยาผู้ล่วงลับที่อ่านบทละครเรื่องลุงวานยาให้เขาได้ต่อบท นี่แสดงให้เห็นว่ารถคันนี้ของเขามิใช่แค่ยานพาหนะแต่คือที่พักใจส่วนตัว หรืออาจจะเรียกได้ว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเขา เขารู้สึกถูกเชื่อมโยงกับภรรยาอยู่ตลอดเวลาที่นั่งในรถคันนี้ถึงแม้กายหยาบของเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ตาม ในตอนแรกที่ Watari มาเป็นคนขับรถให้ เขาก็รู้สึกไม่ได้ไว้วางใจเธอขนาดนั้นอย่างที่ได้เขียนไปในหัวข้อที่แล้ว แต่เมื่อเรื่องดำเนินผ่านไปสถานะของทั้งสองก็เข้าใกล้กันมากขึ้น การเปลี่ยนที่นั่งถือเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่า Kafuku ไว้วางใจ Watari มากขึ้น มากพอที่จะสามารถพูดคุยเพื่อคลายทุกข์ของกันและกันได้ เรื่องราวหลายอย่างที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหรือข้อมูลสำคัญก็เกิดขึ้นภายในรถคันนี้

            มีหนึ่งช็อตที่นอกจากสวยงามแล้วยังน่าสนใจในการตีความนั่นก็คือช็อตที่เกิด Match Cut ที่ Dissolve จากล้อรถที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนไปเป็นเทปที่กำลังบันทึกเสียงของ Oto อยู่ ช็อตนี้เป็นการเชื่อมความหมายและคุณค่าของรถกับสิ่งที่เหนือกว่าสถานะที่มันเป็นอยู่แล้ว เหมือนเป็นการยืนยันว่าขณะเดียวกับที่รถซาบเปิดประทุนสีแดงคันนี้เคลื่อนไป เสียงของ Oto ก็ก้องกังวานในโสตประสาทของ Kafuku เขายังไม่ลืมเธอ เขายังมีคำถามและเจ็บปวด เสียงของเธอเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนแผลเจ็บที่ยังไม่สมาน แต่ Kafuku ก็ทนความเจ็บปวดต่อไป ยังคงฟังเสียงของเธอขณะขับรถทุกครั้งไปเพราะเขารักเธอมากเหลือเกิน

            แน่นอนว่ามีการยึดติดคนเราก็จะต้องปล่อยวางในท้ายที่สุดไม่ช้าก็เร็ว ในตอนจบของภาพยนตร์เราไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรมาก รู้แค่ว่าเราเห็น Watari ที่เหมือนจะเดินซื้อของในช่วงสถานการณ์โควิด เธอมาอยู่ที่ประเทศเกาหลีคนเดียว เธอเดินเอาของจากร้านไปที่ลานจอดรถ และรถของเธอคือรถซาบเปิดประทุนสีแดง! เราไม่รู้ข้อมูลอะไรมากกว่านี้ แต่พื้นที่ตรงนี้ก็มากพอจะปล่อยให้คนดูเข้าใจด้วยตนเองว่า Kafuku ปล่อยวางจากรถคันนี้และเดินหน้าใช้ชีวิตโดยปราศจากมันได้แล้ว ส่วน  Watari ก็สามารถก้าวข้ามความรู้สึกผิดในใจและปล่อยให้ญี่ปุ่นเป็นอดีตสำหรับเธอ ทั้งสองได้ปลดพันธนาการภายในใจและเดินหน้าใช้ชีวิตของตนต่อไปในที่สุด

 

            “Drive My Car” เป็นภาพยนตร์ที่สามารถเล่าเรื่องโดยใช้กลวิธีทางภาพยนตร์และการเขียนบทได้แยบยลและละเอียดลออ การเลือกที่จะผูกความหมายและความสัมพันธ์ของตัวละครกับสิ่งที่ unconventional เป็นสิ่งที่อันตราย หากพลาดพลั้งไปจะทำให้ภาพยนตร์ล้มเป็นโดมิโน แต่ Drive My Car และผู้กำกับ Ryusuke Hamaguchi ได้พิสูจน์แล้วว่ามันสามารถทำได้ถ้าคุณฉกาจฉกรรจ์มากพอ

            ถึงแม้ Drive My Car จะเป็นหนังที่พูดถึงชีวิตของคนธรรมดา ๆ แต่เนื้อหาที่ซึ้งกินใจและเตือนให้คนที่ได้ชมรู้สึกถึงการมีอยู่ของอารมณ์ สุข เศร้า เหงา เจ็บปวด แต่ในท้ายที่สุดเราทุกคนก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับทุกอย่างในโลกได้ ทางเดียวที่ทำได้คือการมีชีวิตอยู่ต่อไป ผู้เขียนเชื่อว่าหากวันหนึ่งเรามองย้อนกลับไปในอดีตที่ขมขื่นเราจะยิ้มละไมให้กับหยดน้ำตาหยดนั้นและก้าวเดินต่อไปในทางเดินไม่สิ้นสุดที่มีชื่อว่า “ชีวิต”

 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 101,481