ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน:
ร้อยพันความพิเศษ … เหตุผล ผู้คน และความเข้าใจ

สุธีรา บุนนาค

 

 

            เราอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ตอนไหน ?

            คำถามนี้เป็นคำถามที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ในชีวิตจริงคงไม่มีใครมานั่งถกถามกันมากนัก และหากจะให้ตอบ ก็คงจะทำได้แค่นึกย้อนเพียงครู่และตอบได้คร่าว ๆ เท่านั้น เช่น “น่าจะตอนชั้นประถมหนึ่ง”หรือคำตอบของบางคนอาจจะห้วนสั้นเพียงแค่ “ใครจะไปจำได้”

            คำถามนี้ผุดขึ้นมาเมื่อผู้วิจารณ์ได้หยิบหนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่มีชื่อว่า “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน” ของ กนก วิบูลย์พัฒน์ ขึ้นมาอ่าน สิ่งสำคัญของคำถามข้างต้นนี้คงมาจากการที่ผู้วิจารณ์เองก็เคยเป็นเด็กที่
อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เมื่ออยู่ระดับประถมฯ เหมือนกับตัวละครหลักของวรรณกรรมเรื่องนี้เช่นกัน

            หนังสือเล่มนี้มีหน้าปกเป็นรูปการ์ตูนที่มีตรารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทนวนิยายสำหรับเยาวชน รางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ 15 ของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ประทับอยู่ ทว่าสำหรับผู้วิจารณ์นั้น ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นที่ปกหลัง คำสำคัญที่น่าสนใจผุดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจนราวกับตัวอักษรสามมิติที่นูนเด่นกว่าคำอื่น ๆ ทั้งคำว่า “การศึกษาพิเศษ”“ออทิสติก”“เพื่อน”“ยอมรับกันและกัน” หรือ “อ่านหนังสือเกือบไม่ออก เขียนเกือบไม่ได้” ยิ่งในฐานะที่ผู้วิจารณ์เป็นครูภาษาไทย หนังสือเล่มนี้เหมือนมีพลังพิเศษที่เชิญชวนให้ผู้วิจารณ์ค่อย ๆ เปิดอ่านทีละหน้าเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามบางอย่างในใจ

            ทำไมชื่อเรื่องจึงต้องเป็น“ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน”

            คำถามนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงเนื้อหาที่ปรากฏในเรื่อง แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับการตีความการตั้งชื่อตัวละคร
ภาพสะท้อนของสังคมไทย มุมมองทางการศึกษา รวมไปถึงการสร้างระบบนิเวศทางการเรียนรู้ (Learning Ecosystem) หรือการสร้างชุดความคิดเติบโต (Growth Mindset) ที่ปรากฏให้เห็นในวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้

 

“ปัณณ์” ที่แปลว่าหนังสือ: การตั้งชื่อตัวละครกับมิติของลักษณะนิสัยที่แอบแฝง

            หนังสือเล่มนี้เปิดเรื่องมาด้วยการเล่าถึงปัณณ์ เด็กผู้หญิงที่เชื่อว่าตัวเองโชคร้ายที่สุดในโลก เธอกำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า ปัณณ์เป็นเด็กที่ต้องย้ายโรงเรียนตามแม่อยู่เสมอ จนกระทั่งปัจจุบันที่เธอได้ย้ายมาอยู่กับน้าพิมที่กรุงเทพฯ และเป็นไปตามการเปิดเรื่องของวรรณกรรมเยาวชนที่ให้ดูมีอะไรไว้ก่อน นั่นคือโรงเรียนใหม่ แต่ปัณณ์ไม่มีเพื่อนใหม่เลยสักคน อีกทั้ง ปัณณ์ยังมีความยากลำบากในการเรียนคือการที่เธอยังอ่านไม่ค่อยออก เขียนยังไม่ค่อยได้ ทั้งที่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าแล้ว แต่เธอก็ยังคงเป็นคนที่ชอบการเขียนบันทึกแบบผิดบ้างถูกบ้างในแบบที่เธออ่านเข้าใจได้คนเดียวอยู่เสมอ

            ความน่าสนใจ ของวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้คือการที่ผู้เขียนตั้งใจสร้างตัวละคร “ปัณณ์” ให้เป็นภาพสะท้อนของเด็กธรรมดาทั่วไป หากวิเคราะห์จากชื่อของเธอ คำว่า “ปัณณ์” นั้น หมายถึง หนังสือ
แต่ลักษณะเด่นของเธอคือเด็กสาวชั้นปอห้าที่ยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออก เขียนหนังสือไม่ค่อยได้ แน่นอนว่าผู้เขียนคงตั้งใจให้ผู้อ่านมองถึงความย้อนแย้งชวนสงสัยบางประการ ถึงกระนั้น ปัณณ์ก็ยังคงชอบแต่งเรื่องในแบบที่เธอสนุกและอ่านได้เพียงคนเดียว หากไม่มี “ปืนใหญ่” เพื่อนชายตัวอ้วนวัยเดียวกันมาล้อเลียนที่เธอเขียนหนังสือผิด ๆ ถูก ๆ

            ปืนใหญ่ จึงเปรียบเหมือนอาวุธร้ายแรงที่ยิงเข้ามาทำลายความมั่นใจและความลับของปัณณ์ให้แตกพ่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเติบโตและเรียนรู้กันผ่านความเข้าใจ ปืนใหญ่และปัณณ์ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกัน ปืนใหญ่ของปัณณ์จึงไม่ใช่อาวุธร้ายแรง แต่ปืนใหญ่กระบอกนี้เปรียบเหมือนอาวุธที่คอยปกป้องปัณณ์จากภัยอันตราย เพราะทุกครั้งที่เธออยู่กับปืนใหญ่ เธอสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ เป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น
รู้สึกอย่างไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ ปืนใหญ่จึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับหนังสือเล่มน้อยเล่มนี้เสมอ

            นอกจากนั้น ผู้เขียนยังตั้งชื่อตัวละครประกอบได้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยบุคลิก ลักษณะและพัฒนาการของตัวละครบางประการได้อย่างแนบเนียน เช่น ตัวละครอย่าง “ครูหรรษา” ที่มีลักษณะของความเป็นครูที่เข้าใจในความหลากหลายของเด็กพิเศษ ไม่ตัดสิน ไม่ตีค่าว่าเด็กเหล่านั้นเป็นอะไร แต่ยอมรับว่าเด็กทุกคนล้วนมีความโดดเด่นในตัวเอง

            ครูหรรษายังมีลักษณะใบหน้าที่เป็นมิตร อุปนิสัยใจดี เปิดใจยอมรับทุกความคิด เหมือนกับความหมายของชื่อที่แปลว่าความรื่นเริง ความยินดี เพราะครูเองก็มีความยินดีในการสอน แนะนำ และให้คำปรึกษาแก่เด็กทุกคนเสมอ ทว่าเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ผู้อ่านจะพบว่าครูหรรษาไม่ได้มีเพียงด้านของความใจดียิ้มแย้มเท่านั้น แต่เมื่อถึงสถานการณ์อันสำคัญสำหรับการตัดสินใจ ครูหรรษาแสดงให้เห็นถึงความเคร่งขรึม
การครุ่นคิด ความหนักแน่นในเหตุผล และความเข้มแข็งต่ออุดมการณ์ของการทำเพื่อนักเรียนเช่นกัน

            นอกจากนี้ยังมีตัวละครอย่างพี่สายลม พี่สาวชั้นปอหกที่มีความสามารถรอบด้าน มีพลังทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ร่างกายไม่สมบูรณ์เพราะมีความพิการทางด้านการเคลื่อนไหว เธอต้องใช้รถเข็นในการเคลื่อนที่ ทั้งที่ชื่อของเธอ สายลม เปรียบเสมือนความอิสระ การเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี ไม่มีสิ่งใดกักขังหรือหยุดยั้งได้ แต่ในขณะเดียวกันสายลมก็เปรียบได้กับพลังบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวได้ เพราะสายลมอาจกลายเป็นพายุได้เหมือนกัน

            อย่างตอนที่เธอส่งผลงานเข้าประกวดในฐานะนักเรียนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ใช่นักเรียนผู้พิการ สายลมก็ทำให้เห็นว่าเธอแข็งแกร่งและมีความสามารถทัดเทียมนักเรียนธรรมดาทั่วไป

            การตั้งชื่อตัวละครของวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ จึงมีความพิเศษที่โดดเด่นในตัวเอง ความหมายของชื่อตัวละครไม่ได้แปลอย่างตรงตัว หากแต่มีแง่มุมเฉพาะตัวบางประการที่ซ่อนอยู่ในลักษณะนิสัยและการกระทำของตัวละครเหล่านั้น

            หากเราได้เรียนรู้ผู้คน เราจะพบว่าไม่มีใครเรียบแบนเพียงมิติเดียว ทุกคนล้วนมีมิติต่าง ๆ และมีเหตุการณ์เบื้องหลังที่สะท้อนการกระทำเหล่านั้นเสมอ

            ปัณณ์ เป็นหนังสือที่เขียนผิด ๆ ถูก ๆ แต่ก็ยังชอบเขียนให้ตัวเองอ่านเพราะเธอมองว่าสิ่งนี้คือเซฟโซนให้เธอได้หลีกหนีจากโรงเรียนใหม่ของเธอ

            ปืนใหญ่ เป็นอาวุธที่ไม่ได้มุ่งทำลายผู้อื่น แต่สามารถทำหน้าที่ปกป้องผองเพื่อนได้เช่นกัน

            มิติของตัวละครเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ชวนให้ผู้อ่านสังเกต พร้อมทั้งทำความเข้าใจในมุมของตัวละคร และมองให้เห็นด้วยการยอมรับถึงความหมายของชีวิตจริง

 

ความไม่สมบูรณ์ของชีวิต คือความเป็นนิจของมนุษย์

            มิติของตัวละครในเรื่องยังเป็นเสน่ห์ที่ทำให้วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์แต่ละชีวิต

            ปัณณ์ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เพราะย้ายโรงเรียนบ่อยครั้ง พ่อแม่แยกทางกัน แม่และน้าต่างก็ทำงาน ไม่มีเวลาให้แก่เด็กสาวมากนัก

            ปืนใหญ่ พูดจาห้วนสั้น ชอบล้อเลียนในจุดด้อยของคนอื่น เพราะเขามักได้รับคำพูดและการปฏิบัติเหล่านี้มาจากพี่ชายต่างมารดา จนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็ทำกัน

          ข้าวปั้น เด็กชายออทิสติกที่ตีความทุกอย่างตรงตามตัวอักษร นั่นก็เพราะลักษณะเฉพาะของความพิเศษที่เขาเป็น

          ลุงชาติ ชายผู้ไม่สุงสิงกับใคร เพราะมีความคิดที่ว่าทุกคนในชุมชนอยู่กันอย่างลงตัวแล้ว คงไม่มีใครต้องการให้เขาเข้าไปสร้างความวุ่นวายเพิ่มในชีวิต

            แม่แพรว แม่ของปัณณ์ ไม่ได้อยู่กับปัณณ์และไม่ได้คอยเลี้ยงดูลูก เพราะต้องการทำงานเก็บเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้ชีวิตของเธอและปัณณ์ในอนาคต

            ทุกตัวละครล้วนมีเหตุผลของการกระทำ มีที่มาที่ไป มีแนวความคิดบางอย่างที่แสดงออกถึงการกระทำเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำเหล่านั้นสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของแต่ละชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง

            ปัณณ์ ไม่ได้มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่เลิกรากัน น้าพิมเองก็ไม่ได้มีเวลาดูแลเธอมากนัก

            ปืนใหญ่ อาศัยอยู่กับพ่อ ย่า และพี่ชายต่างมารดาที่ชอบก่นด่าและดูถูกด้านสติปัญญาของเขา

            ข้าวปั้น เป็นเด็กออทิสติกที่มักถูกเพื่อนล้อเลียนและกลั่นแกล้งเสมอ

            ลุงชาติ มีปมปัญหาในใจเกี่ยวกับการทำให้แม่ของตนเองเสียชีวิตจากการที่ตามไปอยู่กับเขาที่อเมริกา

            แม่แพรว ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ชีวิตของตนและลูก เพื่อลบคำครหาจากชายผู้เป็นพ่อของปัณณ์ ที่ทิ้งเธอไป

            ทุกชีวิตล้วนไม่สมบูรณ์ แต่ทุกชีวิตล้วนสะท้อนมิติของมนุษย์ในทุกเพศและทุกวัย และคงต้องยอมรับว่านี่แหละคือชีวิตจริงของมนุษย์

           

พ่อแม่ชนชั้นกลาง: หนทาง เป้าหมาย และปัญหา

            เนื้อหาของวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ ดำเนินเรื่องที่โรงเรียนและบ้านเป็นภาพหลัก หากแต่สะท้อนให้เห็นภาพของชนชั้นกลางในสังคมไทยปรากฏขึ้นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จากเรื่องราวที่สื่อออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของปัณณ์

            ปัณณ์เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน พ่อทิ้งแม่และเธอไปได้สามปี ส่วนแม่ต้องดิ้นรนทำงานเพื่อหาเงินให้ครอบครัวได้สุขสบาย เธอจึงต้องอาศัยกับน้าพิมที่พอจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่แน่นอน น้าพิมก็ดูจะชอบทำงานเหมือนแม่ – ชอบ – คำนี้ไม่ได้หมายถึงชอบจริง ๆ แต่หมายความว่า มักจะ หรือทำอยู่เสมอ

            ครอบครัวของปืนใหญ่ที่พ่อเองก็ทำหน้าที่เป็นคนขายก๋วยเตี๋ยว

            หรือแม้แต่ครอบครัวของปุ้ม เด็กหญิงห้องเรียนพิเศษผู้ทำอะไรเฉื่อยช้า พ่อของเธอมาร่วมกิจกรรมของโรงเรียนช้าเพราะติดงาน

            ทุกครอบครัวของชนชั้นกลางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองและครอบครัวมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง ทุกครอบครัวล้วนมีเป้าหมาย ผู้ประกอบอาชีพในชนชั้นกลางทำเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ลูกหลาน เป้าหมายคือการหาเงินให้ได้มากที่สุด แม้จะต้องแลกมาด้วยเวลาที่อยู่กับครอบครัวที่น้อยลงไปก็ตาม
แต่นั่นถือเป็นหนทางเดียวที่จะพาพวกเขาไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้

            แน่นอนว่า หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หลายครั้งต้องเผชิญกับปัญหา ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว เพราะภาวะความกดดันและความเครียดที่ต้องการไปยังเป้าหมายให้ได้สำเร็จโดยเร็ว

            ครอบครัวจึงอาจไม่ใช่เกราะป้องกันให้แก่เด็กเสมอไป สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากวรรณกรรมเรื่องนี้คือผู้ใหญ่เองก็มีปัญหาเช่นกัน ปัญหาจากความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว ปัญหาจากการทำงาน และปัญหาจากสิ่งต่าง ๆ รอบด้าน บางครั้งผู้ใหญ่เองก็ต้องเรียนรู้ไม่ต่างจากเด็ก เรียนรู้ในการปรับตัว เรียนรู้ในการยอมรับและเข้าใจ เพื่อให้สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ดีที่สุด ณ​ เวลานั้น 

            ดังจะเห็นได้จากตอนที่แม่ของปัณณ์พยายามจะอธิบายให้ปัณณ์เข้าใจเกี่ยวกับการไม่ให้ปัณณ์ย้ายตามเธอไปทำงานที่ต่างจังหวัด เหตุการณ์นี้มีเหตุและผลของการตัดสินใจ แต่ความยากคือการอธิบายให้ลูกเข้าใจในสิ่งที่แม่นั้นหวังดี หากมองในมุมกลับของเรื่อง ถ้าใจของปัณณ์ไม่ได้อยากอยู่โรงเรียนเดิม ปัณณ์ก็อาจจะไม่พอใจที่แม่เลือกที่จะไม่พาเธอไปด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายด้วยความที่ปัณณ์มีเหตุผลและพึงพอใจกับการได้เรียนโรงเรียนนี้ จึงทำให้เธอเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่แม่ของเธอตัดสินใจได้ไม่ยากนัก

           

บ้าน โรงเรียน ชุมชน: ผลลัพธ์ของเยาวชนไทย

          นอกจากการกล่าวถึงครอบครัวแล้ว วรรณกรรมเรื่องนี้ ยังพูดถึงโรงเรียนอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน โรงเรียนแทบจะเป็นฉากแห่งการเติบโตของหลายตัวละครที่ปรากฏในเรื่องนี้

            เด่นชัดที่สุดคงจะเป็น ปัณณ์ แรกเริ่มผู้อ่านจะพบว่าปัณณ์ถูกจัดให้เป็นเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ โดยเธอต้องถูกแยกไปห้องการศึกษาพิเศษ ระบบการศึกษาเช่นนี้ไม่ต่างจากการตีตราเด็กคนนั้นว่าด้อยความสามารถ แปลกประหลาด และแตกต่างจากคนทั่วไปตามมาตรฐาน แม้จะมีการตั้งชื่อห้องให้ดูสวยหรูแต่ความรู้สึกของเด็กกลุ่มนี้ก็คงไม่ได้ยินดีมากนัก

            ในขณะเดียวกันห้องการศึกษาพิเศษนี้เองที่ทำให้ปัณณ์อ่านออกเขียนได้มากขึ้น กล้าหาญมากขึ้น พร้อมมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น ผู้เขียนอาจต้องการบอกว่าแท้จริงแล้วเด็กทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถที่แตกต่างกันเพียงแต่ระบบและผู้ใหญ่ต้องเข้าใจและพร้อมสนับสนุนเพื่อให้เด็กเติบโตโดยไม่ตีกรอบความสามารถ

            ตัวละครอย่างปัณณ์ไม่ได้เป็นเพียงเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ แต่เขาเป็นตัวแทนของเด็ก
ทุกคนที่ถูกตีตราจากสายตาคนรอบข้าง ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการคือการมีคนมองเห็นและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น มากกว่าแค่ความสงสารหรือมองว่าเป็นภาระเพียงเท่านั้น

            ในขณะที่ผู้ใหญ่อย่างน้าพิมเองก็เติบโตขึ้นจากโรงเรียนแห่งนี้เช่นเดียวกัน

            น้าพิมได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองของปัณณ์ แต่ไม่เคยมาร่วมงานของโรงเรียนเลย จนกระทั่งวันหนึ่งที่น้าพิมได้มีโอกาสมาร่วมงานของโรงเรียน ทำให้เธอได้เห็นเด็กหลากหลายมากขึ้น นาฬิกาชีวิตของเธอในวันนั้นหมุนช้าลง เธอเข้าใจในสิ่งที่โรงเรียน - ครูหรรษา – ช่วยหลานของเธอและเด็กคนอื่น ๆ มากขึ้น

            น้าพิมอาจไม่ได้มาร่วมงานโรงเรียนบ่อยครั้ง แต่หลังจากจากการมาร่วมงานโรงเรียนในวันนั้นก็ทำให้เธอเข้าใจว่าการให้ความร่วมมือกับโรงเรียนเพื่อพัฒนาลูกหลานนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนต้องทำ สิ่งสำคัญในการสร้างความร่วมมือที่ทรงพลังคือการสร้างเป้าหมายที่เห็นพ้องเป็นหมายร่วมกัน โดยจะต้องอาศัยการพบปะ หรือการประชุม รวมทั้งชุมชนอันเป็นสภาพแวดล้อมสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป้าหมายเหล่านั้นครูจะต้องทำให้ชัดเจน เห็นภาพของผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่าบทบาทของครูหรรษาจึงมีความสำคัญและชัดเจนอย่างยิ่งในการทำให้บ้าน โรงเรียน และชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนานักเรียนร่วมกัน ครูหรรษาจัดกิจกรรมของห้องพิเศษเพื่อให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมและเห็นความแตกต่างของนักเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจ ยอมรับ และหาหนทางในการพัฒนานักเรียนร่วมกัน          

            สิ่งที่ครูหรรษาและโรงเรียนจัดการนั้นถือได้ว่าเป็นการสร้างระบบนิเวศทางการศึกษา (Educational Ecosystem) ทั้งการสนับสนุนให้นักเรียนพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพของตนเอง มีพื้นที่การเรียนรู้ที่ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กัน ออกแบบการถ่ายทอดความรู้ที่่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนมีการสนับสนุนจากผู้ปกครองทางบ้าน และมีการส่งเสริมให้นักเรียนแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อการพัฒนาให้เด็กทุกคนแสดงความพิเศษ
ในตัวเองออกมาให้เต็มที่ที่สุด (สภาการศึกษา, 2565)

           

Growth Mindset: พลังวิเศษจากครูถึงศิษย์

            ครูหรรษาไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างบ้านกับโรงเรียนได้เป็นอย่างดี แต่เป็นตัวละคร “ครู” ที่ทำหน้าที่ตามแบบ “ครู” จริง ๆ ครูหรรษาเป็นตัวแทนของครูการศึกษาพิเศษที่พร้อมมอบพลังวิเศษให้แก่นักเรียนของเธอทุกคน

            ปัณณ์ค่อย ๆ เรียนรู้การอ่านการเขียนได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความใจเย็นของครู เธอค่อย ๆ ประทับใจครูหรรษาขึ้นเรื่อย ๆ จนเปิดใจที่จะรับฟังและทำตามคำแนะนำของครูหรรษา ตั้งแต่เรื่องเรียนไปจนถึงทุก ๆ เรื่อง พี่สายลมเองก็มักจะมาปรึกษาปัญหาส่วนตัวกับครูหรรษา ครูหรรษาจึงเปรียบเสมือนพื้นที่ปลอดภัยของนักเรียนทุกคน ตัวละคร “ครูหรรษา” ทำให้คำกล่าวใน TED Talk ที่ว่า “Kids don’t learn from people they don’t like.” (Pierson, 2013) นั้นเป็นความจริงสำหรับทุกช่วงเวลา หากจุดเริ่มต้นของการเจอกันระหว่างปัณณ์กับครูหรรษา เริ่มต้นจากการที่ครูหรรษาบังคับ และปัณณ์ไม่เต็มใจ ก็คงจะทำให้สองคนมีความรู้สึกที่ดีต่อกันได้ยากลำบาก ตัวละคร “ปัณณ์” เองก็ได้รับการพัฒนามาอย่างดีเพราะมีครูหรรษาที่คอยสอนและแนะนำในหลายสิ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคนเบื้องหลังผู้คอยมอบแนวความคิดดี ๆ ให้แก่ปัณณ์

            สิ่งสำคัญที่ครูหรรษามีคงเป็น “Growth Mindset หรือ ชุดความคิดเติบโต” ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีความเชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถพัฒนาตนเองได้ (Dweck, 2006) ครูหรรษาเองก็มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของนักเรียนทุกคน ชุดความคิดเหล่านี้สะท้อนผ่านคำพูดต่าง ๆ ของครูหรรษา ซึ่งสุดท้ายแล้วได้ถ่ายทอดมาสู่นักเรียนของเธออย่างชัดเจน

          “ถ้าวันนี้ หนูยังไม่อยากอ่าน หนูอยากทำอะไรล่ะ” ครูหรรษายังคงยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม (น.11)

            ครูมองเราในแง่ดีจังเลย ห้องการศึกษาพิเศษนี่ก็ดีเหมือนกันนะ (น.24)

            ปัณณ์ เติบโตขึ้นมาก จากคำสอนและประสบการณ์ที่เธอได้รับจากครูหรรษา

            “ได้อยู่แล้ว ถ้านายพยายาม” (น.94) คำพูดจากปากของปัณณ์ เมื่อรถถัง เพื่อนใหม่ของเธอที่ต้องใช้เครื่องช่วยฟังมีความฝันอยากเต้นรำ 

            ถ้าเป็นแต่ก่อนปัณณ์คงจะหันไปปลอบใจรถถัง แล้วบอกว่าให้หาอย่างอื่นที่มีอุปสรรคน้อยกว่านี้ทำดีกว่า แต่ว่าตอนนี้…

          ปัณณ์เชื่อมั่นในตัวเองและทุกคน และพร้อมที่จะลงแรงช่วยเพื่อนใหม่คนนี้ของเธอเสมอ

 

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน: ร้อยพันความพิเศษ … เหตุผล ผู้คน และความเข้าใจ

          ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ทำให้ผู้อ่านอบอุ่นหัวใจ

-                                                                                                                  - อยู่ด้วยกัน –

            แม้ว่าสุดท้าย ปัณณ์จะไม่ได้อยู่กับแม่ของเธอ แต่คำว่า อยู่ด้วยกัน คงไม่ใช่แค่การที่ปัณณ์กับแม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หมายถึงการที่ปัณณ์รู้ว่าทุกคนจะคงอยู่เพื่อให้เธอได้คิดถึงเสมอ อยู่เพื่อให้รู้ว่า ไม่ว่าปัณณ์จะเดินไปไกลแค่ไหน แต่เมื่อหันกลับมา ปัณณ์ก็ยังจะเจอว่ามีคนคอยสนับสนุนเธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแม่แพรว น้าพิม
ครูหรรษา ปืนใหญ่ พี่สายลม

            รวมถึงพี่สาวแปลก ๆ ตาบอดสีผู้เป็นจิตรกรคนหนึ่งที่บอกกับเธอว่า “อย่ายอมแพ้ล่ะ พี่เชื่อว่าหนูทำได้- ทำอะไรก็ได้ที่หนูอยากจะทำ” (น.63) หรือใครก็ตาม แน่นอนว่าคงไม่มีคำใดยิ่งใหญ่ไปกว่าคำว่า “ขอบคุณ” และหันไปบอกกับเขาเหล่านั้นว่าขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน ยอมรับกัน และไม่ทิ้งเธอไปไหน

            ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน ขอบคุณที่ทำให้ฉันเติบโตจนถึงวันนี้ บางทีปัณณ์อาจจะอยากกล่าวแบบนี้
นี่แหละในตอนที่เธออ่านออกเขียนได้และกล้าทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นแล้ว

            เมื่อเนื้อหาของหนังสือเรื่องนี้จบลง คำถามบางอย่างที่คาใจผู้วิจารณ์ก็ค่อยคลายลงเช่นกัน

ทำไมชื่อวรรณกรรมเรื่องนี้คือ “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน” ทำไม่ต้องเป็นชื่อนี้ เมื่อพิจารณาอีกครั้ง ก็พบว่าอาจเป็นเพราะ…

            ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน ขอบคุณที่ไม่ทิ้งคุณค่าของตัวเองไปไหน แม้ในวันที่ฉันยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แม้ในวันที่ฉันยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ แต่ฉันก็คือฉัน ฉันผู้มีความพิเศษในตัวเอง

            บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่า ปัณณ์คงอยากกล่าวขอบคุณตัวเองที่อยู่ด้วยกัน ยอมรับกัน ไม่ทิ้งกันไปไหน และยังพาให้ตัวเองออกไปกล้าทำในสิ่งต่าง ๆ ที่อยากทำ… เหมือนกันนั่นแหละ

            แล้วตัวเราล่ะเคยขอบคุณตัวเองที่ ‘อยู่ด้วยกัน’ บ้างไหม ขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้แม้ในวันที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่สุด อย่างไรก็อย่าลืมคนพิเศษที่สุดในชีวิตของเรา - คนที่อยู่ในกระจก – นั่นไง อย่าลืมพูดกับเขาด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายที่สุดในทุก ๆ วันของชีวิต

 

                                                                                                                                                ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน

 

 

แหล่งอ้างอิง

กนก วิบูลพัฒน์. (2563). ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาฯ.​

สภาการศึกษา. (2565). การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อการจัดการศึกษาสำหรับโลกยุคใหม่. กรุงเทพฯ:          สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.

Dweck, C. S. (2006). Mindset: The new psychology of success. Random House.

Pierson, R. (2013, May). Every kid needs a champion [Video]. TED Conferences.             https://www.ted.com/talks/rita_pierson_every_kid_needs_a_champion.

Visitors: 101,469